เภสัชทุง เขียน: การที่ยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกนั้น ยังไม่ทำให้ไทยเสียดินแดนในตอนนี้หรอก แต่จะเป็นชนวนให้เกิดความขัดแย้งในอีก 2 ปีข้างหน้า ในการบริหารจัดการพื้นที่กันชน
ซึ่งขณะนี้ ก็เริ่มมีเค้าลางความขัดแย้งแล้ว เมื่อสมเด็จฮุนเซน อ้างสิทธิในพื้นที่ทับซ้อน ที่ 3 คนไทยเข้าไปป่วนในพื้นที่นั้น โดยให้ไทยถอนทหารออก ขณะที่นายกฯ สมัคร ก็ยืนยันว่า พื้นที่ทับซ้อน ซึ่งคนกัมพูชาไปตั้งรกรากนั้น เป็นของไทย และเราได้ประท้วงไป 5 ครั้งแทนการใช้กำลังทหารขับไล่ เพราะกัมพูชาถืออภิสิทธิ์ กั้นลวดหนาม และปล่อยให้คนกัมพูชาเข้ามาใช้สิทธิในพื้นที่ทับซ้อน
ตามหลักทั่วไปแล้ว กรณีพื้นที่ทับซ้อนที่ยังเป็นพื้นที่สีเทา ไม่ชัดเจนว่าเป็นของฝ่ายไหนแล้ว หากไม่มีสิทธิ ก็ย่อมไม่มีสิทธิทั้ง 2 ฝ่าย แต่หากมีสิทธิแล้ว ก็ต้องมีสิทธิร่วมกัน
ดังนั้น กรณีนี้ ผมว่า มันเกิดปัญหาตั้งแต่ช่วงที่ ยูเนสโก อนุญาตให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนตัวปราสาทฝ่ายเดียวแล้ว หากให้ขึ้นทะเบียนตัวปราสาทและพื้นที่ทับซ้อนร่วมกันระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาร่วมกันแล้ว ปัญหาย่อมไม่เกิด
และมันยิ่งผิดทื่ รัฐมนตรีต่างประเทศของเรา แทนที่จะแก้ปัญหาด้วยการล็อบบี้ ให้แต่ละภาคีของยูเนสโก ยอมรับการขึ้นทะเบียนร่วมกัน กลับไปเลือกวิธีให้กัมพูชาไปขึ้นทะเบียนตัวปราสาท ซึ่งย่อมเกิดปัญหาในการจัดการพื้นที่ทับซ้อน ที่จะเป็นประเด็นความขัดแย้งในอนาคต
และเมื่อบวกกับความไม่ไว้วางใจ กับสไตล์การบริหารของผู้นำระบอบทักษิณ ที่มักมีปัญหาพัวพันเรื่อง การทุจริตเชิงนโยบาย ซึ่งก็มีข้อมูลเกี่ยวกับแผนการลงทุนอย่างมหาศาลในกัมพูชาของท่านทักษิณ กับการที่ทนายคู่บุญไปเป็นเจ้ากระทรวงต่างประเทศ ทำการโยกย้ายอดีตอธิบดีกรมสนธิสัญญา ซึ่งคัดค้านตลอดกรณีให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกฝ่ายเดียวแล้ว
ผมว่า ฝ่ายที่คิดต่อต้านรัฐบาลกรณีการดำเนินการเรื่องปราสาทพระวิหารนั้น ย่อมไม่ผิดครับ และเป็นภาระท้าทายของรัฐบาลในการแก้ปัญหาความขัดแย้งทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับประเทศขณะนี้ เพื่อพิสูจน์ฝีมือของรัฐบาล ซึ่งได้แถลงนโยบายว่า จะเป็นรัฐบาลแห่งความสมานฉันท์ ???
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ

ว่าแต่คุณเภสัชทุงเป็นแฟนลิเวอพูลเหรอคับ...อิอิ...เหมียนกานเรยยย
