New Document









แนวคิดนักศึกษาเภสัชรุ่นใหม่

เภสัชกรร้านยา

Re: แนวคิดนักศึกษาเภสัชรุ่นใหม่

โพสต์โดย zartingtong » 15 ต.ค. 2008, 00:13

Pharm D ในอเมริกาไม่ผลิตยาแล้ว
ภาพประจำตัวสมาชิก
zartingtong
 
โพสต์: 1260
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ส.ค. 2006, 19:14







Re: แนวคิดนักศึกษาเภสัชรุ่นใหม่

โพสต์โดย nookrx » 18 ต.ค. 2008, 23:21

ตอบในฐานะคนที่เรียน 6 ปี
มาทำงานที่ รพ. ชุมชน
จะเห็นความแตกต่างเยอะอยู่ค่ะระหว่างคนที่เรียน 5 ปี (บางคน)
กับคนที่เรียน 6 ปีเช่น พี่บางคนจบมาก็มาทำงานที่ รพ.ชุมชนเลย จึงอาจไม่มีประสบการณ์มากเท่าในด้าน
ด้านคลินิกต่างๆซึ่งพัฒนาไปมากเช่นเรื่อง การจัดการระบบ ADR ระบบ mederor
ระบบแพ้ยา/แพ้ยาซ้ำ one day dose DIS คลินิกพิเศษต่างๆ ซึ่งเมื่อมามาทำงานตอนแรกรพ. ไม่มีระบบอะไร
เราก็พัฒนาระบบเรื่อยมาจนเป้นที่ยอมรับระดับหนึ่ง
ที่ทำงานตรงจุดนี้ได้ก็เพราะประสบการณื/สิ่งที่ได้เรียนรู้มา/ในการฝึกงานใน 1 ปี สุดท้านนั่นเอง
และยังได้ฝึกงานในร้านยาอย่างเข้มข้นอีก ซึ่งตอนฝึกปี 4-5 ก็ยังไม่ละเอียดเท่า
ที่เล่านี่ก็เป็นเพียงประสบการณืส่วนตัวเท่านั้น
ที่ว่า 1 ปีนั้นคุ้มค่ากว่าชีวิตมาก
หากไม่ได้คิดมาเรื่องเงินที่เสียไปใน 1 ปี
ก็จะเห็นว่าเป้นประสบการณืที่คุ้มจริงๆ
สามารถนำความรู้ที่ได้มาพัฒนาการได้อย่างรวดเร็ว
แต่หากเรียน 5 ปีก็ไม่ทราบเช่นกันเพราะอาจขึ้นอยู่กับคนมากกว่าที่จะกระตือรือล้นหรือไม่
เพราะเห็นพี่ๆที่เก่งๆที่เรียน 5 ปีแล้วก็ต่อโทกันก็พัฒนางานได้มากเช่นเดียวกัน
แชร์ความคิดค่ะ
ให้เห็นอีกมุมหนึ่ง
ภาพประจำตัวสมาชิก
nookrx
 
โพสต์: 31
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ต.ค. 2008, 20:59

Re: แนวคิดนักศึกษาเภสัชรุ่นใหม่

โพสต์โดย Kaikook.rx » 20 ต.ค. 2008, 11:10

เรียน 6 ปีเหมือนกัน
เห็นด้วยกับคุณ nookrx ค่ะ
ตอนนี้รู้สึกคุ้มที่เรียน 6 ปี มากค่ะ
Kaikook.rx
 
โพสต์: 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2008, 23:07

Re: แนวคิดนักศึกษาเภสัชรุ่นใหม่

โพสต์โดย แมลงเมาท์ » 20 ต.ค. 2008, 11:23

คุ้มนะครับสำหรับการเรียน 6 ปี เพื่อมาทำงานสายคลินิค

แต่อย่าลืมสิครับว่า เภสัชกรไม่ได้ทำแค่คลินิคอย่างเดียว บทบาทอื่นทางด้านโรงงาน ทางด้านคบส และทางด้านพฤกษศาสตร์ เราจะทิ้งไปอย่างไม่สนใจมันเหรอครับ

ปิดทางทำมาหากินของวิชาชีพตัวเองไปรึเปล่า

ผมเห็นด้วยกับน้องนะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
แมลงเมาท์
 
โพสต์: 83
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.ย. 2006, 06:07

Re: แนวคิดนักศึกษาเภสัชรุ่นใหม่

โพสต์โดย Kaikook.rx » 20 ต.ค. 2008, 11:46

ตอนฝึกงานไม่ได้มีวิชาให้ฝึกแต่สายคลินิกค่ะ
ตอนนี้จบมาก็ไม่ได้ทำงานสายคลินิกค่ะ
แต่ประสบการณ์ที่ได้ช่วยได้เยอะค่ะในด้านบูรณาการความคิดเพื่อแก้ปัญหา
เพราะตอนฝึกงาน 1 ปี พบเจอปัญหาหลากหลายปัญหา
และก็ยังเป็นปัญหาจากหลายที่ หลายงานด้วย
รวมทั้งปัญหาของวิชาชีพเองด้วยที่เคยชินกับการทำงานแบบเดิมๆ
จนลืมมองมุมอื่นๆ
Kaikook.rx
 
โพสต์: 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2008, 23:07

Re: แนวคิดนักศึกษาเภสัชรุ่นใหม่

โพสต์โดย zartingtong » 20 ต.ค. 2008, 12:55

ถ้าจบ 5 ปีแล้วไปทำงานจริงๆได้เงินด้วย1 ปีล่ะหลังจากนั้นจะเก่งเท่ากันมั๊ย?
แถมทำสาขาไหนก็ได้ด้วย
ภาพประจำตัวสมาชิก
zartingtong
 
โพสต์: 1260
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ส.ค. 2006, 19:14

Re: แนวคิดนักศึกษาเภสัชรุ่นใหม่

โพสต์โดย zartingtong » 20 ต.ค. 2008, 12:55

ถ้าจบ 5 ปีแล้วไปทำงานจริงๆได้เงินด้วย1 ปีล่ะหลังจากนั้นจะเก่งเท่ากันมั๊ย?
แถมทำสาขาไหนก็ได้ด้วย
ภาพประจำตัวสมาชิก
zartingtong
 
โพสต์: 1260
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ส.ค. 2006, 19:14

Re: แนวคิดนักศึกษาเภสัชรุ่นใหม่

โพสต์โดย nookrx » 20 ต.ค. 2008, 13:40

ปล. ตอนนี้ก็ทำงาน คบส อยู่ค่ะ
ไม่เคยรู้เหมือนกันว่าต้องทำอย่างไร
ตอนนี้ปรับตัวได้แล้ว
อย่างที่บอกว่ามันขึ้นอยู่กับคนว่าจะใส่ใจไหม
ตอนมาทำ คบส แรกๆหลงทิศทาง
ไม่รู้ว่า scope งานมีอะไรบ้าง
ว่าจะเข้าที่ทางก็ปีที่3-4
ถ้าได้ฝึกงานตอนปี 6 (ที่ รพ.ชุมชน)
ก็คงเริ่มงานได้เลย
แล้วแต่บริบทของแต่ะพื้นที่นะคะ
เปรียบเทียบคงไม่ได้ง่ะ
แล้วแต่มุมมอง
ภาพประจำตัวสมาชิก
nookrx
 
โพสต์: 31
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ต.ค. 2008, 20:59

Re: แนวคิดนักศึกษาเภสัชรุ่นใหม่

โพสต์โดย phinate » 27 ต.ค. 2008, 22:24

ครับผม ขอบคุณสำหรับทัศนะผู้เขียนนะครับอยากทราบว่าผู้เขียนเรียนหลักสูตรกี่ปีครับ มันจะเป็นการบอกว่าหลักสูตรประสบความสำเร็จรึเปล่านะครับถ้าท่านเรียน 5 ปี ก็ไม่เป็นไรนะครับแต่ถ้าท่านเรียน 6 ปี และท่านเพิ่งเรียนจบหรือจบมาแล้วท่านคิดเช่นนี้ผมเสียใจกับผู้ที่เขียนหลักสูตรมาด้วยครับท่านอาจต้องพิจารณาหลักสูตรใหม่เพราะขนาดคนที่เรียนมายังไม่เห็นความสำคัญและไม่รู้ว่าที่เรียนมาดีอย่างไรทำไมต้องเรียน คงต้องเริ่มตั้งแต่ต้นถึงจุดประสงค์การเรียนรู้เลยทีเดียวนะครับ แต่ถ้าท่านกำลังเรียน 6 ปีอยู่แต่ยังไม่จบ เดี๋ยวท่านจบลองเขียนดูใหม่ครับว่าคิดอย่างไรถ้าคิดเหมือนเดิมก็คงต้องทำอย่างที่กล่าวไปข้างต้นครับ แต่ถ้าท่านคิดเปลี่ยนไปมาบอกด้วยนะครับจะได้เป็นกำลังใจแก่คนเขียนหลักสูตร

ส่วนตัวผมคิดว่าตอนนี้ผมจบมามันก็จะเริ่มถูกกลืนไปในสิ่งแวดล้อมถ้าเราไม่เคยเห็นสิ่งที่มันถูกต้องมาก่อนเราก็จะเห็นว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วถึงทำต่อไป 1 ปี มันก้มีประสบการณ์เพิ่มในสิ่งที่กำลังทำอยู่แต่ การที่เราได้ไปฝึกงานได้เห็นสิ่งที่ดีและไม่ดีในแต่ละที่ซึ่งจะไม่เหมือนกับการมาทำงาน ครับผม
ยินดีครับต่างคนต่างความคิดครับผม

อย่างที่บอกครับตัวผู้เขียนท่านจะเป็นผู้พิสูจณ์เองครับว่าสมควรหรือไม่ อย่างไงช่วยมาแจ้งให้ทราบครับ ขอบคุณมากครับสำหรับแนวคิด
phinate
 
โพสต์: 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 มิ.ย. 2008, 17:55

Re: แนวคิดนักศึกษาเภสัชรุ่นใหม่

โพสต์โดย KungZa » 06 พ.ย. 2008, 21:33

เห็นด้วยค่ะ
ผู้ใหญ่ไม่ค่อยสนใจความคิดของคนเรียนเลย
ทีตัวเองออกกฏไรมามากมาย แล้วคนต้องปฏิบัติตามมากกว่าครึ่งทักท้วงก็ไม่สนใจ
อย่างเช่นการสอบใบประกอบ ไม่รู้ทางสภาได้อ่านกระทู้ในเวปสภาบ้างป่าวว่า นศภ.ทั้งประเทศบ่นว่าอะไรกันบ้าง
บางปีออกเน้นด้านคลีนิค..เด็กที่เรียนสายโรงงานก็ตายย
บางปีออกเน้นด้านโรงงาน.เด็กสายคลีนิกก็ตายเหมือนกัน ไมไม่ออกแบบ 2 ด้านครึ่ง ๆ กันไป
มีเวปบอร์ดไว้ให้แสดงความเห็นแต่ไม่เข้าไปอ่าน จะมีไปทำไม
ไม่ได้ว่าที่ต้องมีการสอบเอาใบหลังเรียนจบ แต่ควรนึกถึงภาพรวมมากกว่า ไม่ใช่เลือกเน้นไปด้านใดด้านนึง

ปล. นอกเรื่องไปนิ๊ดส์...เหอๆๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
KungZa
 
โพสต์: 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.ค. 2007, 21:46
ที่อยู่: ปทุมธานี

Re: แนวคิดนักศึกษาเภสัชรุ่นใหม่

โพสต์โดย chatori » 11 พ.ย. 2008, 07:13

" งานของเภสัชกรมีมากมายหลายด้านแต่การศึกษาเภสัชศาสตร์จะเน้นที่การบริบาลเภสัชกรรมด้านเดียว อีกไม่นาน งานที่เคยเป็นของเภสัชกรก็จะถูกแทนที่ด้วยนักศึกษาจากสาขาอื่น "


น้องคิดว่าจริงเหรอ???
งานใดๆ ก็ตามถ้าคนที่ทำอยู่ทำได้ดีหรืออาจไม่ดี แต่ถ้าคนที่ทำพยายามที่จะพัฒนาและกระตือรือร้นเพื่อให้เกิดโอกาสพัฒนา นั่นก็ถือเป็นสิ่งที่ดี
น้องคิดว่าทางองค์กรจะไม่ให้โอกาสเชียวหรือ เดี๋ยวนี้งานพัฒนาคุณภาพเภสัชกรรมก็มีมากมาย
และอีกอย่างน้องคิดว่าการที่คนอีกวิชาชีพนึงจะเข้ามาทำงานแทนที่อีกวิชาชีพนึง ได้ดีกว่าหรือเพียงแค่ให้เทียบเท่ากับที่วิชาชีพเดิมที่ทำอยู่นั้น มันจะง่ายขนาดนั้นเลยหรือ???

เอาเราเป็นที่ตั้งละกันนะ เช่น เราเรียน 5 หรือ 6 ปี ไม่ต้องเอาไปเทียบกับหมอหรือ ทันตะหรอก เทียบกับวิชาชีพที่เรียนน้อยกว่าเรา ถ้าเราคิดจะไปทำอะไรก็ตามแทนเค้าเนี่ย คิดว่าจะทำได้มั๊ย

เพราะฉะนั้นไม่ว่าเรียน 5 หรือ 6 ปี ก็เพียงแค่คิดหาโอกาสที่จะทำงานเพื่อพัฒนาวิชาชีพ คิดเห็นแก่ตัว ให้น้อยลง ก็น่าจะดี
chatori
 
โพสต์: 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ต.ค. 2008, 08:21

Re: แนวคิดนักศึกษาเภสัชรุ่นใหม่

โพสต์โดย chatori » 11 พ.ย. 2008, 07:28

" แหล่งฝึกงานที่มีคุณภาพเพียงพอสำหรับการศึกษาด้านการบริบาลเภสัชกรรมรองรับนักศึกษาได้มากแค่ไหนกัน แน่ใจได้อย่างไรว่า นักศึกษาเภสัชศาสตร์ ปีละประมาณ 1,200 คนที่จบมาใหม่จากหลักสูตร 6 ปี จะมีคุณภาพดีกว่า หลักสูตร 5 ปี แบบที่เคยใช้มาอย่างยาวนาน ทำไมไม่ปล่อยให้เอาเวลา 1 ปีที่ต้องเรียนในสถานศึกษา ไปเริ่มต้นทำงานในที่ทำงานของตัวเอง ไปปรับปรุงอะไรๆให้ดีขึ้น เก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานให้เกิดความเชี่ยวชาญในงานของตน โดยที่ระหว่างนั้นก็มีรายได้เลี้ยงตัวเอง และครอบครัว "

แหล่งฝึกงาน นั่นก็เป็นสิ่งที่ต้องช่วยกันพัฒนา ถ้าไม่ช่วยกันพัฒนา อย่าว่าแต่ เรียน 6 ปี จะไม่มีที่ฝึกงานเลย อีกหน่อยรุ่นน้องที่เรียนเภสัชก็จะไม่มีที่ฝึกงาน

" ทำไมไม่ปล่อยให้เอาเวลา 1 ปีที่ต้องเรียนในสถานศึกษา ไปเริ่มต้นทำงานในที่ทำงานของตัวเอง ไปปรับปรุงอะไรๆให้ดีขึ้น เก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานให้เกิดความเชี่ยวชาญในงานของตน "

น้องคิดว่าสามารถปรับปรุงอะไรได้ดีขึ้นจริงๆ เหรอ กับการเริ่มทำงานแบบไม่มีประสบการณ์ และต้องใช้เวลาในการปรับตัว ลองมองอีกแง่ การฝึกงานเป็นเหมือนการฝึกปฏิบัติจริง ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของพี่เภสัชกรที่มีความรู้และประสบการณ์มาก่อน น่าจะช่วยได้เมื่อเวลาปฏิบัติงานจริง แม้ว่าอาจจะไม่ได้ทันที แต่ก็ทำให้มีแนวคิด มุมมองในการเริ่มปฏิบัติได้ อาจจะดีกว่าเริ่มแบบไร้แนวคิดและทิศทาง เหมือนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี คิดว่าหลายคนก็คงจะเป็น
ในส่วนนี้อาจจะต้องรับฟังความคิดเห็นจากพี่ๆ เภสัช ว่าเป็นอย่างไร น้องที่จบ 5 กับ 6 มีอะไรต่างกันบ้าง แนวคิด กระบวนการทำงาน ทักษะ การปรับตัว ความอดทนอดกลั้น ความรู้อันนี้ไม่เทียบ ถือว่าทุกคนเรียนมาในระบบ มาตรฐานความรู้เดียวกัน น่าจะมีความรู้ในส่วนพื้นฐานเพียงพอ
ก็อาจจะต้องรับฟังด้วยจากส่วนของงานจริงๆ เพื่อใช้พิจารณาด้วยนะ

แม้ว่าจะเสียเวลา แต่มันก็ไม่ได้เสียไปเปล่าๆ เราก็ได้ประสบการณ์ที่มากขึ้น ทั้งดีและไม่ดี
แก้ไขล่าสุดโดย chatori เมื่อ 11 พ.ย. 2008, 07:52, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
chatori
 
โพสต์: 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ต.ค. 2008, 08:21

Re: แนวคิดนักศึกษาเภสัชรุ่นใหม่

โพสต์โดย chatori » 11 พ.ย. 2008, 07:42

" ว่ากันว่า การเรียน 6 ปีจะทำให้เกียรติศักดิ์ของวิชาชีพเทียบเท่าแพทย์ ทันตแพทย์ "

ว่ากันว่า

เอ่อ อันนี้ไม่แน่ใจว่าน้องไปได้ยินใครว่ามา เหอๆๆ หรือว่าว่ากันเอง
แนวคิดเค้าอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่น้องเข้าใจ แต่ก็อาจจะเป็นอิสระทางความคิดที่น้องจะคิดได้ เพราะทุกอย่างก็มีโอกาสเป็นไปได้ พี่ว่าอาจเป็นแนวคิดที่จะพัฒนาความรู้และพัฒนาศักยภาพของตัวเภสัชกรให้มีความสามารถมากขึ้น ทำเพื่อให้เห็นว่าเรามีบทบาทที่จะทำอะไรได้มากขึ้นและดีขึ้น ช่วยเหลือผู้ป่วยและวิชาชีพอื่นได้มากขึ้น เกียรติศักดิ์ของแต่ละวิชาชีพ ความภูมิใจคงเอาไปเทียบกันไม่ได้หรอก ว่ามั๊ย พี่ก็ภูมิใจที่เรียนจบเภสัช และเป็นเภสัชกรเต็มตัว ใครจะมาเข้าใจความรู้สึกของการเรียนเภสัชเท่าเรา
สิ่งสำคัญน่าจะอยู่ที่ตัวเราเอง ทำดีก็เพียงพอ อย่าเอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เราน่าจะสบายใจกว่านะ
chatori
 
โพสต์: 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ต.ค. 2008, 08:21

Re: แนวคิดนักศึกษาเภสัชรุ่นใหม่

โพสต์โดย chatori » 11 พ.ย. 2008, 07:59

สภาพสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ ค่าใช้จ่าย 1 ปีที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ และยิ่ง ในอนาคต อีก 5 ปี เงินเฟ้อในอัตรา ปีละ 7 - 8 เปอร์เซ็นต์ ไม่รู้ว่ารุ่นน้องที่ขึ้นปี 6 ในตอนนั้นต้องลงทุนกับการศึกษาคนละเท่าไหร่ต่อปี


อันนี้ก็จริงเนอะ เรียนมากก็ต้องมีค่าใช้จ่ายมาก เฮ้อ!!!
อันนี้ก็ต้องชั่งเอาละกัน ใช้ Phar-econ เข้ามาจับ เหอๆๆ
chatori
 
โพสต์: 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ต.ค. 2008, 08:21

Re: แนวคิดนักศึกษาเภสัชรุ่นใหม่

โพสต์โดย kkhanita » 22 พ.ย. 2008, 12:55

ขอแสดงความคิดเห็นในฐานะของนิสิตเภสัชฯ ปี 6 ฝึกงาน clerkship สุดท้าย และกำลังจะจบ
พี่ที่แหล่งฝึกถามว่า "น้องรู้มั้ยว่า ขณะที่น้องเรียนปี 6 อยู่ เพื่อนที่เรียน 5 ปี เค้าทำเงินไปแล้วเท่าไหร่"
แล้วก็พูดต่ออีกว่า "เรียน 6 ปีก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น"
แล้วก็มีประโยคหนึ่งที่หลุดออกมาว่า "เพื่อนพี่บางคนเปลี่ยนงานทุกปี จนตอนนี้ยังหาตัวเองไม่เจอ"
นี่คือประเด็น...

บางแง่บางมุม ในบทความที่ได้อ่าน ก็เห็นจะจริงดังที่ จขกท ว่าไว้
แต่อยากให้มองอีกมุมหนึ่งบ้าง...
งานของเภสัชกรมีมากมายหลายด้านแต่การศึกษาเภสัชศาสตร์จะเน้นที่การบริบาลเภสัชกรรมด้านเดียว อีกไม่นาน งานที่เคยเป็นของเภสัชกรก็จะถูกแทนที่ด้วยนักศึกษาจากสาขาอื่น ถ้าตำแหน่งงานในโรงพยาบาลเต็ม เภสัชกรจบใหม่จะไปทำงานที่ไหน

การเรียน 6 ปี ไม่ได้หมายความว่า จะลดความเชี่ยวชาญในสาขาอื่นๆลง เทคโนเรียน 4 ตัวเหมือนกัน ตั้งตำรับยาน้ำ ยาครีม ยาผง ยาฉีด ยาเม็ด หรือควบคุมคุณภาพการผลิตยาในโรงงาน QC/QA เด็ก 6 ปีก็ทำได้ เภสัชเคมี 3 ตัว เภสัชเวท 3 ตัว ก็เรียนเหมือนกัน เภสัชเศรษฐศาสตร์ เภสัชสนเทศ 2 ตัว
กฏหมาย 2 ตัว ก็เรียนเหมือนกัน วิจัยอีก 3 ตัว และ senior project ก็ต้องทำ
หากมีใครที่ติดตามรางวัลนวัตกรรมแห่งประเทศไทย 2551 รางวัลที่ 3 เป็นของคณะเภสัชฯ การพัฒนาสูตรโครงสร้างของยาอัลไซเมอร์
เภสัชเคมีเพียวๆ และไม่ได้เกี่ยวข้องกับคลินิก ทั้งๆที่เป็นเด็กบริบาลเภสัชกรรม ดังนั้น - ไม่จริงเลยที่งานของเภสัชกรจะถูกแทนที่ด้วยสาขาอื่น -


ตอนนี้ฝึกงานอยู่บริษัทยางานขึ้นทะเบียนยา การเรียนสานคลินิกมา ทำให้มองภาพงานได้กว้างกว่ามาก
เข้าใจและเรียนรู้งานได้เร็ว และนึกภาพตามงานวิจัยทางคลินิกที่อ่านได้เร็ว เพราะเคยพบเคยเห็นมาหมดช่วงที่ฝึกงาน
ที่บริษัทยาเองก็ยังชอบนิสิตฝึกงาน CRA ที่เป็นเด็ก 6 ปี และเคยฝึกงานโรงพยาบาล แถมยังเรียน pharmacovigilance มาก่อน
ซึ่งก็รวมอยู่ในหลักสูตร 6 ปี ฝึกงานแค่เดือนกว่า ก็รีบเรียกให้กลับมาทำงานเลย
9 เดือนกับ 6 clerkship ที่แตกต่างกัน เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ค้นหาตัวเอง และอย่างน้อยรู้ว่าอยากจะทำอะไรหลังจากจบมา โดยไม่ต้องเสียเวลาเปลี่ยนงานไปทุกปีๆ โดยเฉพาะคนที่ยังมีจุดมุ่งหมายไม่แน่นอนว่าอนาคตอยากทำอะไร ก็ได้มาสัมผัสอย่างใกล้ชิด

สืบเนื่องจากข้อที่ 2 ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง คนอายุ 23 ปี 2 คน คนหนึ่งเป็นเภสัชกรจบใหม่ 5 ปี รายได้เดือนละประมาณ 17,000 บาท อีกคนเป็นนักศึกษาเภสัชศาสตร์ ปี 6 ฝึกงาน ค่าใช้จ่าย ส่วนตัว เดือนละ 5,000 บาทค่าลงทะเบียนเรียน ปีละ 30,000 บาท สมมติที่พักฟรีในโรงพยาบาล ไม่เสียตังค์ คิดว่า 2 คนนี้ใครมีความสุขกว่ากัน


อันนี้เห็นจริงอย่างว่า ค่าใช้จ่ายในการฝึกงานปีสุดท้ายค่อนข้างสูง แต่ค่าเดินทางและเบี้ยเลี้ยงก็เบิกได้ส่วนหนึ่ง
แต่ประสบการณ์ที่ได้นั้นมันมากกว่าเดือนละ 17,000 บาทมากนั้น
จะมีซักกี่คนที่ได้เห็นข้อมูลเอกสารขึ้นทะเบียนยาใหม่ นอกจากเภสัชกรขึ้นทะเบียนยา และเด็กฝึกงานขึ้นทะเบียนยา
จะมีซักกี่คนที่ได้ไปสัมผัสงานเตรียม TPN เต็มรูปแบบและติดตามการใช้ TPN บนหอผู้ป่วย ได้ออกความคิดเห็นร่วมกับทีมแพทย์ในการปรับเปลี่ยนสูตร TPN หากคนไข้ Electrolyte ไม่ดี (แพทย์ทั่วไป ไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่อง nutrition และ TPN เท่าเภสัชกร)
จะมีซักกี่คนที่ได้ไปสัมผัสงานติดตามตรวจวัดระดับยาในเลือด ดูแลเรื่อง compliance ของผู้ป่วยที่ได้รับยา Therapeutics index แคบ
ไม่ใช่หมอสั่งจ่าย Dilantin, valproate ก็จ่ายไป ไม่ได้แนะนำให้ผู้ป่วยเห็นความสำคัญของการกินยาให้ตรงเวลา และผลเสียที่เกิดขึ้นหากผู้ป่วย noncompliance
ได้ไปเตรียมยาเคมีบำบัด ติดตามการใช้ยาเคมีบำบัด และออกความคิดเห็นร่วมกับแพทย์ถึงเรื่องของ premedication ที่แพทย์ลืมไป
จะมีสักกี่คนที่สามารถเริ่มงานคลินิกพิเศษ warfarin, COPD, HIV ได้เลยโดยไม่ต้อง Train งานใหม่
จะมีสักกี่คนที่ได้ขึ้นไปทำ medical reconcilation บนหอผู้ป่วย และดีใจที่ได้รู้ว่าคนไข้กลับบ้าน ได้ยาเดิมกลับครบถ้วนโดยหมอไม่ลืมตัวไหนไป
จะมีสักกี่คนที่ได้ขึ้นไปรับรู้ว่าพยาบาลบนหอผู้ป่วยใช้ยาฉีด insulin, enoxaparin, G-CSF แบบ SC ยังไม่ถูกเลย และได้เข้าไปช่วยเขาแก้ไขปัญหา
จะมีสักกี่คนที่ได้ขึ้นไปตาม DUE ของยาปฏิชีวนะแสนแพงบนหอผู้ป่วยและพบว่าจากการสั่งใชยานั้น หมอยังไม่เคยสั่งเพาะเชื้อเลย...

- - ยังมีอีกมากที่ขุดมาเล่าไม่หมด - -
และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาฝึกงานเพียงปีเดียว... ที่บางคน 17,000 บาทไม่อาจหาซื้อได้

การบริบาลเภสัชกรรมในร้านยาโดยเภสัชกร 6 ปี ให้ประโยชน์แก่ประชาชนมากกว่าเมื่อเทียบกับเภสัชกร 5 ปีจริงหรือไม่

อันนี้แล้วแต่มุมมองของแต่ละคนค่ะ
ร้านยาที่มีการบริบาลเภสัชกรรมเต็มรูปแบบ เภสัชกรที่จบ 5 ปีก็ทำได้ และอาจทำได้ดีกว่า หากมีใจรักงานเภสัชชุมชนจริงๆ
ตรงที่ มีลูกค้ามาซื้อยา เราซักประวัติอย่างละเอียด จ่ายยาเท่าที่จำเป็น บอกให้เค้าทราบว่ายาแต่ละตัวคือยาอะไร
และจะช่วยรักษาหรือป้องกันอะไรที่เค้าเป็น บอกเค้าได้จะใช้เวลาเท่าไหร่ถึงจะหาย บอกเค้าได้ว่าหากมีอาการสัญญาณอันตรายอะไรบ้าง
ให้ไปหาหมอทันที และบอกเค้าได้ว่าควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อให้ไม่กลับมาเป็นซ้ำ หรือเพื่อให้ที่เป็นอยู่หายไวขึ้น
..คนไข้มาด้วยปวดหัวตรงท้ายทอยมาก จะมีซักกี่ร้านที่นอกจะจ่ายยาแก้ปวดแล้ววัด BP ให้เค้าด้วย
มีซักกี่ร้านที่มีระบบส่งต่อคนไข้รพ. เพื่อรับการรักษาต่อ มีการส่งต่อระบบคนไข้แพ้ยาที่พบที่ร้าน เพื่อลงบันทึกประวัติใน รพ.ด้วย
หากผ่านการฝึกปฏิบัติการเภสัชฯชุมชนมาแล้ว เรื่องเหล่านี้สามารถทำได้ง่ายมาก
และไม่ยากเลยที่ลูกค้าจะติดใจในบริการ และกลับมาบ่อยๆ...

ว่ากันว่า การเรียน 6 ปีจะทำให้เกียรติศักดิ์ของวิชาชีพเทียบเท่าแพทย์ ทันตแพทย์ แล้วถ้ามองในสายตาเป็นธรรม มันเป็นเรื่องจริงแน่เหรอ ในเมื่อความรู้สึกภาคภูมิในในตัวเอง ในงานที่ตัวเองทำ หรือคุณค่าของวิชาชีพ เป็นเรื่องของความรู้สึกส่วนบุคคล คนเราจะไม่มีวันรู้สึกต่ำต้อย ถ้าไม่คิดว่าตัวเองต่ำต้อย ถ้าตรรกะที่ว่า ระยะเวลาการเรียนเท่าแพทย์ หรือทันตแพทย์จะทำให้การยอมรับ เกียรติศักดิ์ของวิชาชีพ หรือแม้กระทั่งรายได้เทียบเท่าวิชาชีพดังกล่าว ถ้าเช่นนั้น การเรียน เภสัชศาสตร์ 7 ปีจะทำให้เภสัชกรได้รับการยอมรับมากกว่าแพทย์ ทันตแพทย์จริงเหรอ


อันนี้เป็นมุมมองส่วนบุคคล แต่ส่วนตัวแล้ว ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยกว่าหมอ และไม่เคยรู้สึกว่าหมอสูงส่งกว่าเรา
ช่วงที่ฝึกงานบริบาลเภสัชกรรมผู้ป่วยใน อาจารย์หมอดีใจนักหนาที่มีนิสิตเภสัชมา round ด้วย และให้ความรู้เรา เหมือนที่เค้าสอนนิสิตแพทย์ หมอไม่ได้รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับยา หมอถามเรื่องยาที่เค้าสงสัยตลอดเวลาว่าเค้าจะให้ยากับเคสนี้มีข้อจำกัดอะไร
ยาตัวนี้ต้องปรับขนาดตาม ClCr มั้ย
ทีม round ที่มีทั้งหมอ เภสัช และพยาบาล เป็นหลักประกันได้ว่าคนไข้จะได้ยาที่ถูกต้องและปลอดภัย
หมอบางคนบอกว่า "น่าจะมีเภสัชมา round ตั้งนานแล้ว เมื่อก่อนไม่รู้เรื่องยาไม่รู้จะถามใคร กว่าจะเปิดตำราก็เป็นวันๆ"
บางทีคนไข้ได้ยา dose ไม่ถึงก็สะกิดคุยกับหมอได้ทันที หรือยาที่มี interaction กัน มีหมอไม่กี่คนที่ใส่ใจเรื่องนี้
รู้ตัวอีกทีคนไข้ก็ bleed จาก warfarin บางทีก็ลืม OFF ยา
บางจุดเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับยาที่หมออาจจะลืมไป เมื่อมีเภสัชขึ้นไปช่วย screen ทำให้หมอทำงานได้มั่นใจขึ้นมาก และไวขึ้นด้วย
และเมื่อมี เภสัชขึ้นไปทำ bedside ถามประวัติการใช้ยาของคนไข้ ยังได้ข้อมูลเพิ่มเติมให้หมอในการหาสาเหตุของโรคได้อีก
เพราะบางโรคก็มีสาเหตุมาจากยานั่นเอง


ส่วนตัวแล้วที่ตอบกระทู้นี้ ก็เพราะได้อ่านบทความแล้วไม่อยากให้รุ่นน้องที่กำลังเรียน pharm.d อยู่เป็นกังวล
ปีฝึกงานที่เพิ่มขึ้น 1 ปี ไม่ได้ทำให้ชีวิตหมดความหมายขนาดนั้น
แต่การจะปรับหลักสูตรให้เป็น 6 ปีทั้งหมดก็เห็นจะไม่ถูกต้องนัก เพราะก็สงสารคนที่ตั้งใจจะเป็นเภสัชฯเทคโน แต่ไม่ชอบสายคลินิก
จะต้องมาเสียเวลาฝึกงานในส่วนที่ตัวเองไม่ชอบอีกปีไปเปล่าๆ
การแก้ปัญหาไม่น่าจะมาแก้ที่ปลายเหตุ มาเปลี่ยนหลักสูตร หรือมาแก้กฏหมายให้รองรับ
ควรจะทำความเข้าใจกันตั้งแต่ทีแรกมากกว่า คณะควรไปแนะแนวให้เด็ก ม6 ที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ได้เข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตรที่เขาจะเรียนน่าจะดีกว่า การมารับรู้กันในวงแคบๆ ก็ไม่รู้ว่าจะมีนักเรียนที่หลงเข้ามาอีกซักเท่าไหร่
เด็กที่เรียน pharm.D. ก็เพียงปีฝึกงานที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น ทำให้เมื่อจบมา การไปทำงานในสายคลินิกร่วมกับวิชาชีพแพทย์สามารถทำได้เลย
เป็นเพียงการปลูกฝังว่าหมอกะเภสัชจะต้องช่วยกันดูแลคนไข้นะ

ก็มีไม่น้อยที่จบไปเป็นผู้แทนยา แถมเข้าหาหมอได้ง่ายกว่า และคุยกันเข้าใจ เพราะเรียนรู้งานในระบบโรงพยาบาลมาเป็นอย่างดี
จบมาไปอยู่โรงงาน หรือบริษัทยาก็มีมาก ไม่ได้หมายความว่าเรียนคลินิกจบไปจะทำอย่างอื่นไม่ได้
"เพียงแค่มีประสบการณ์ทางคลินิกมากขึ้น ไม่ได้หมายความว่าความรู้สาขาอื่นจะถูกลดบทบาทลง"

ด้วยความเคารพในบทบาทวิชาชีพทางการแพทย์ทุกวิชาชีพ
นิสิตเภสัชศาสตร์ ชั้นปีที่ 6 มหาวิทยาลัยนเรศวร
kkhanita
 
โพสต์: 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2008, 21:15

ย้อนกลับต่อไป

ย้อนกลับไปยัง ลาเต้

ผู้ใช้งานขณะนี้

New Document