New Document









ขึ้นค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายให้หมอ เป็น10000บาท แต่เภสัชไม่

ข่าวสารสาธารณสุข

Re: ขึ้นค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายให้หมอ เป็น10000บาท แต่เภสัชไม่

โพสต์โดย Aspire3054 » 30 ธ.ค. 2008, 15:04

เข้ามาอ่านแล้ว ตกใจแทนเลย
ถ้าเภสัชไม่ขึ้นด้วยอ่ะนะ
กองทัพเดินด้วยท้องนิ ทำงัยได้

ปล.ลาออกมานานแล้ว 1900*6เดือน ไม่รู้ได้ผู้ใดไปแล้ว ตกเบิกช้าจิงๆ เหอๆ
Aspire3054
 
โพสต์: 42
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ม.ค. 2008, 11:53







Re: ขึ้นค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายให้หมอ เป็น10000บาท แต่เภสัชไม่

โพสต์โดย jobikung » 31 ธ.ค. 2008, 00:39

ถามว่าได้น้อยมั๊ย

ก็ต้องตอบเต็มปากว่าได้น้อย

แต่ก็เฉยๆ เพราะเดิม ได้ 1900 มันไม่ได้มากได้มายอะไร

แต่ที่ผ่านมา..มันก็ทำให้ชีวิตเราอยู่ได้ และก็มีความสุขดี

ถ้าเทียบกับภาระงานที่แพทย์เค้ารับผิดชอบ กับเงินที่เค้าได้ ก็ OK

แต่ถามว่าเราควรเพิ่มเป็นเท่าไหร่ อันนี้ แล้วแต่ความพึงพอใจ

เพราะทุกวันนี้ ผมว่า ค่าตอบแทนที่ได้ กับการใช้ชิวิต

ที่ไม่ต้อง ไปเปิดร้านยา หารายได้พิเศษ....

แต่ได้ ไปเที่ยวในที่ต่างๆ มีวันหยุด...อยู่กับครอบครัว

ผมว่า ผมพอละ

ยิ่งไปอ่านกระทู้พยาบาล ยิ่งปวดหัวแทนเลย

http://www.thaicne.com/

ลองเข้าไปดูละกัน
jobikung
 
โพสต์: 15
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ธ.ค. 2007, 20:10

Re: ขึ้นค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายให้หมอ เป็น10000บาท แต่เภสัชไม่

โพสต์โดย pipat » 31 ธ.ค. 2008, 21:33

คุณ iampharmacist ดูเข้าใจเจตนารมณ์ของกฎกระทรวงเรื่องการขึ้นค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายนี้ดีนะครับ หันไปดูเจตนารมณ์ของกฎกระทรวงแล้ว จะพบว่า เป็นการขึ้นเพื่อดึงบุคลากรในสาขาที่ขาดแคลน

อย่างไรก็ตามดูจะเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งระหว่างวิชาชีพ หรือแม้แต่วิชาชีพเดียวกันแต่อยู่ต่างสังกัด(รพช vs รพท.) มีการวิพากษ์กันอย่างกว้างขวางในเรื่องนี้ ซึ่งเป็นเสียงสะท้อน และผมก็คิดว่าเป็นเรื่องดี สุดท้าย เงินก้อนนี้ อาจต้องมาเฉลี่ยให้เกิดความไม่น้อยเนื้อต่ำใจมากกว่านี้ แต่ถ้าเฉลี่ยน้อยลงมากเท่าใด ก็จะจูงใจแพทย์ ทันตแพทย์ ซึ่งพูดได้เต็มปากว่าเป็นสาขาวิชาที่ขาดแคลน ได้น้อยลงเท่านั้น อันเป็นการขัดกับเจตนารมณ์ของกฎกระทรวงฉบับนี้ ถ้าสนใจ ควรหาอ่านบันทึกการประชุมในการร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ ผมไม่แน่ใจว่า จะมีการบันทึก ข้อความอะไรๆ ที่เหล่าผู้ออกกฎกระทรวงได้ถกเถียงกันก่อนออกกฎกระทรวงนี้ขึ้นมา ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวด้วยการดึงแพทย์และทันตแพทย์ ซึ่งเป็นวิชาชีพที่ขาดแคลนให้อยู่ในระบบรัฐ (ถ้าเทียบแล้ว รายได้แพทยทันตแพทย์เอกชน อยู่ในหลักแสน ซึ่งเป็นเหตุให้มีการลาออกจากรัฐมาก เมื่อเทียบกับวิชาชีพอื่น)

ความยากง่าย หรือภาระงาน ไม่เป็นเหตุตามเจตนารมณ์ในการเพิ่มเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย ครับ (พิจารณาตามเจตนมรมณ์ของกฎกระทรวงฉบับนี้) แม้ว่าแพทย์หรือทันตแพทย์จะทำงานสบายเพียงไหน หรือจะหนักเพียงใด ก็ไม่เป็นเหตุพิจารณาในการเพิ่มเบี้ยเลียงเหมาจ่ายตามกฎกระทรวงฉบับนี้ หรือแม้พยาบาล เภสัชฯ จะทำงาน HA หนักมากน้อยเพียงใด ก็ไม่เป็นเหตุให้มีการเพิ่มเบี้ยเหลี้ยงเหมาจ่ายตามเจตนารมณ์ของกฎกระทรวงฉบับนี้ เหตุเพิ่มเงินดังกล่าวมีเพียงว่า "เป็นสาขาวิชาชีพที่ขาดแคลน" ดังนั้น การยกข้อต่อสู้ว่า งานหนักมากกว่าหรือไม่ จึงดูจะฟังไม่ขึ้น ในการเพิ่มเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายตามเจตนารมณ์ของกฎกระทรวง

ที่ผมเขียนมาดังว่า ก็ไม่ได้มีจุดประสงค์จะขัดขวางปัดป้องไม่ให้ทำการขัดขืน หรือน้อยใจ แต่อย่างใด เพราะผมเองก็ไม่ได้มีส่วนได้เสีย เนื่องจากเป็นทันตแพทย์ ที่ไม่ได้อยู่ในระบบราชการ เพียงแต่ต้องการบอกเล่าความเป็นไปของกฎกระทรวง เรื่องการเพิ่มเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายนี้ ว่าทำไม ถึงเกิดค่าตอบแทนลักษณะนี้ขึ้นมา

ส่วนที่ว่าจะมีการเคลื่อนไหวเพื่อให้ได้ค่าตอบแทนสำหรับเภสัชกรหรือพยาบาลเพิ่มขึ้นนั้น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งสามารถทำได้ และควรจะทำเพื่อเพิ่มแรงจูงใจ ในการปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ เพราะถ้าเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจอย่างนี้ บุคลากรก็จะทำงานอย่างอึดอัด และอาจลดประสิทธิภาพของการทำงาน แต่พึงสังเกตว่า การเคลื่อนไหวเพื่อให้ได้ค่าตอบแทนเพิ่ม นั้น จะไม่สามารถอ้างเรื่องการขาดแคลนของบุคลากรได้ แต่อาจอ้างเรื่องภาระงานที่หนัก รวมทั้งสภาพเศรษฐกิจที่ถดถอยได้
pipat
 
โพสต์: 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ธ.ค. 2008, 21:18

Re: ขึ้นค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายให้หมอ เป็น10000บาท แต่เภสัชไม่

โพสต์โดย nitnit » 31 ธ.ค. 2008, 23:34

pipat เขียน:คุณ iampharmacist ดูเข้าใจเจตนารมณ์ของกฎกระทรวงเรื่องการขึ้นค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายนี้ดีนะครับ หันไปดูเจตนารมณ์ของกฎกระทรวงแล้ว จะพบว่า เป็นการขึ้นเพื่อดึงบุคลากรในสาขาที่ขาดแคลน

อย่างไรก็ตามดูจะเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งระหว่างวิชาชีพ หรือแม้แต่วิชาชีพเดียวกันแต่อยู่ต่างสังกัด(รพช vs รพท.) มีการวิพากษ์กันอย่างกว้างขวางในเรื่องนี้ ซึ่งเป็นเสียงสะท้อน และผมก็คิดว่าเป็นเรื่องดี สุดท้าย เงินก้อนนี้ อาจต้องมาเฉลี่ยให้เกิดความไม่น้อยเนื้อต่ำใจมากกว่านี้ แต่ถ้าเฉลี่ยน้อยลงมากเท่าใด ก็จะจูงใจแพทย์ ทันตแพทย์ ซึ่งพูดได้เต็มปากว่าเป็นสาขาวิชาที่ขาดแคลน ได้น้อยลงเท่านั้น อันเป็นการขัดกับเจตนารมณ์ของกฎกระทรวงฉบับนี้ ถ้าสนใจ ควรหาอ่านบันทึกการประชุมในการร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ ผมไม่แน่ใจว่า จะมีการบันทึก ข้อความอะไรๆ ที่เหล่าผู้ออกกฎกระทรวงได้ถกเถียงกันก่อนออกกฎกระทรวงนี้ขึ้นมา ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวด้วยการดึงแพทย์และทันตแพทย์ ซึ่งเป็นวิชาชีพที่ขาดแคลนให้อยู่ในระบบรัฐ (ถ้าเทียบแล้ว รายได้แพทยทันตแพทย์เอกชน อยู่ในหลักแสน ซึ่งเป็นเหตุให้มีการลาออกจากรัฐมาก เมื่อเทียบกับวิชาชีพอื่น)

ความยากง่าย หรือภาระงาน ไม่เป็นเหตุตามเจตนารมณ์ในการเพิ่มเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย ครับ (พิจารณาตามเจตนมรมณ์ของกฎกระทรวงฉบับนี้) แม้ว่าแพทย์หรือทันตแพทย์จะทำงานสบายเพียงไหน หรือจะหนักเพียงใด ก็ไม่เป็นเหตุพิจารณาในการเพิ่มเบี้ยเลียงเหมาจ่ายตามกฎกระทรวงฉบับนี้ หรือแม้พยาบาล เภสัชฯ จะทำงาน HA หนักมากน้อยเพียงใด ก็ไม่เป็นเหตุให้มีการเพิ่มเบี้ยเหลี้ยงเหมาจ่ายตามเจตนารมณ์ของกฎกระทรวงฉบับนี้ เหตุเพิ่มเงินดังกล่าวมีเพียงว่า "เป็นสาขาวิชาชีพที่ขาดแคลน" ดังนั้น การยกข้อต่อสู้ว่า งานหนักมากกว่าหรือไม่ จึงดูจะฟังไม่ขึ้น ในการเพิ่มเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายตามเจตนารมณ์ของกฎกระทรวง

ที่ผมเขียนมาดังว่า ก็ไม่ได้มีจุดประสงค์จะขัดขวางปัดป้องไม่ให้ทำการขัดขืน หรือน้อยใจ แต่อย่างใด เพราะผมเองก็ไม่ได้มีส่วนได้เสีย เนื่องจากเป็นทันตแพทย์ ที่ไม่ได้อยู่ในระบบราชการ เพียงแต่ต้องการบอกเล่าความเป็นไปของกฎกระทรวง เรื่องการเพิ่มเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายนี้ ว่าทำไม ถึงเกิดค่าตอบแทนลักษณะนี้ขึ้นมา

ส่วนที่ว่าจะมีการเคลื่อนไหวเพื่อให้ได้ค่าตอบแทนสำหรับเภสัชกรหรือพยาบาลเพิ่มขึ้นนั้น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งสามารถทำได้ และควรจะทำเพื่อเพิ่มแรงจูงใจ ในการปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ เพราะถ้าเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจอย่างนี้ บุคลากรก็จะทำงานอย่างอึดอัด และอาจลดประสิทธิภาพของการทำงาน แต่พึงสังเกตว่า การเคลื่อนไหวเพื่อให้ได้ค่าตอบแทนเพิ่ม นั้น จะไม่สามารถอ้างเรื่องการขาดแคลนของบุคลากรได้ แต่อาจอ้างเรื่องภาระงานที่หนัก รวมทั้งสภาพเศรษฐกิจที่ถดถอยได้

ลองๆเข้าไปศึกษาข้อมูลตามลิ้งค์นี้นะครับ....http://imd.moph.go.th/gis/report/pop_of ... =18&R19=19
ทันตแพทย์เพื่อนผมทำเอกชนประมาณ 40000-50000 ครับบอกว่าเหนื่อยมากระดับ60000ขึ้นไปต้องเฉพาะทางครับไม่ใช่ทั่วๆไปครับ
nitnit
 
โพสต์: 116
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2007, 11:44

Re: ขึ้นค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายให้หมอ เป็น10000บาท แต่เภสัชไม่

โพสต์โดย pipat » 01 ม.ค. 2009, 00:23

ผมเองคงไม่ประสงค์จะเอารายได้อะไรมาอวดอ้างปานนั้น เพราะผมเองก็ไม่ได้สนใจรายได้เรือนแสนหรือเรือนหมื่นอะไร ผมเองแม้ลาออกจากราชการ (พึ่งลาออก และมีผลวันที่๑ เดือนมกราคม) แต่ก็ไม่ได้เข้าไปทำคลินิกเอกชน เพราะไม่อยากทำ และมีอย่างอื่นที่รักจะทำมากกว่า

ที่เอารายได้เรือนแสนมาเล่าให้ฟังก็เพราะมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เค้าถึงลาออกกันมามาก ส่วนเพื่อนคุณจะเป็นใครที่ไหนผมไม่รู้หรอก มันมีรายละเอียดมากที่จะอธิบายว่า ๖๐๐๐๐ ที่คุณได้มามันคืออะไร งานเฉพาะทางคืออะไร ซึ่งไม่มีความจำเป็นที่ผมต้องอธิบาย ที่แน่ๆ ผู้มีวิชาชีพนั้นๆ เท่านั้นถึงจะเข้าใจ เภสัช เข้าใจ เภสัช แพทย์เข้าใจแพทย์ ทันตแพทย์เข้าใจทันตแพทย์ ส่วนการได้ยินคำบอกเล่ามา คงไม่กระจ่างเท่ามาเป็นหมอฟันซะเองมั้งครับ?

ส่วนเรื่อนจำนวนร้อยละของบุคลากรตาม gis ตามความเป็นจริงกับภาคปฏิบัตินั้น มันแตกต่างกันมาก คนที่อยู่ รพช. หรือ สสจ. ก็คงจะทราบกันดี แต่ว่า แต่ละ สสจ. แต่ละหน่วย รพช. ก็มีความแตกต่างกัน จะเอาสถานที่หนึ่งที่ใดแห่งเดียวมาเทียบกับสถานการณ์ทั้งประเทศไม่ได้ หรือถ้ามั่นใจมากว่าเป็นวิชาชีพขาดแคลน ก็ย่อมร้องเรียนไปยังกระทรวงได้ เพื่อให้มีการปรับเปลี่ยนเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อดึงวิชาชีพที่ขาดแคลนไว้กับรพ.ชุมชน (ขอเน้นประเด็นเดิมว่า งานหนักเบา ไม่ใช่เกณฑ์ในการขึ้นเงินเบี้ยเลี้ยงฯ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแพทย์ทำงานเบาหรือหนักนะครับมันแล้วแต่คนแล้วแต่พื้นที่)

ตอนผมใช้ทุนปีแรก เห็นเพื่อนๆ ทำงานเอกชนได้เดือนแสน up ผมก็ ต่อว่ามันใหญ๋ ว่าเอาเปรียบลาออกมาเพื่อหาเงิน เค้าก็บอกผมว่า อยากได้มั่งก็ให้ลาออกมาทำเหมือนกันสิ! แล้วผมก็เคยว่าเพื่อนแพทย์ที่สนิทกัน ว่า รวยใหญ่แล้วค่าเวรสามสี่หมื่น เอาเปรียบกันนี่หว่า มันก็บอกผมว่า อยากได้มั่งก็ไปเรียนแพทย์ดิ! แต่สุดท้าย ผมเอง ก็ไม่เลือกเดินทางในสายวิชาชีพแพทย์ หรือทันตแพทย์นี้อีกเลย เพราะเงินไม่ใช่คำตอบสุดท้ายสำหรับผม

แต่เงิน เป็นที่มาของความแตกแยก จริงๆ เฮ้อ...

ผมจะเล่าให้ฟังว่า ปัญหาของคนอื่นเรามักมองเป็นเรือ่งเล็กน้อย แต่พอเกิดขึ้นกับตัวเอง ก็จะมองว่ายิ่งใหญ่ ที่ผมมองว่าเงินเบี้ยเลียงฯเป็นเรื่องที่ไม่น่าเอามาทะเลาะกัน ก็คงเพราะว่า ผมมองแต่ตัวเองมั้ง เพราะว่า ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับผม ถ้าผมเป็นเภสัชกรของรัฐ หรือพยาบาลของรัฐ ผมคงเคลื่อนไหวอะไรมากกว่านี้ แต่ผมจะไม่ค่อนแคะวิชาชีพอื่นให้เกิดความแตกแยก แต่จะเลือกเคลื่อนไหวโดยหลักการที่น่ายอมรับ

สวัสดีปีใหม่ครับ
pipat
 
โพสต์: 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ธ.ค. 2008, 21:18

Re: ขึ้นค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายให้หมอ เป็น10000บาท แต่เภสัชไม่

โพสต์โดย pipat » 01 ม.ค. 2009, 00:30

เอ้อ...ผมมายุ่งอะไรกับบอร์ดเภสัช ผมรบกวนไปไหมครับ พอดีเห็นว่าวิพากษ์กันอย่างกว้างขวาง ก็เลยขอแจมเล็กน้อย ขออภัยๆ หวังว่าคงไม่สร้างความแตกแยกระหว่างวิชาชีพ จะว่าไป แม้ผมมีใบประกอบวิชาชีพ แต่ผม ก็ไม่ได้ทำงานด้านนี้แล้วนี่ เฮ่ออๆๆๆๆ เอาเป็นว่า ผมแสดงความเห็นในฐานะบุคคลทั่วไป อดีตทันตแพทย์รพ.รัฐ นะครับ
pipat
 
โพสต์: 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ธ.ค. 2008, 21:18

Re: ขึ้นค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายให้หมอ เป็น10000บาท แต่เภสัชไม่

โพสต์โดย luferial » 01 ม.ค. 2009, 00:45

คุณ pipat พูดได้ถูกใจผมมากครับ มันเป็นแบบนั้น จริงๆ และก็ต้องยอมรับมันครับ ^^ ไม่ควรจะแตกแยกกัน เจตนารมณ์ ที่แท้จริงของเงินเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย คือ "ความขาดแคลนบุคลากร"
luferial
 
โพสต์: 31
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ธ.ค. 2008, 12:58

Re: ขึ้นค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายให้หมอ เป็น10000บาท แต่เภสัชไม่

โพสต์โดย API » 01 ม.ค. 2009, 12:49

ยินดีครับ คุณ pipat ถือเป็นเกียรติที่ได้มาร่วมแสดงความคิดเห็นครับ จะได้มีตัวอย่างมุมมองของวิชาชีพอื่นบ้างครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
API
 
โพสต์: 371
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ธ.ค. 2006, 21:02
ที่อยู่: สวรรค์

Re: ขึ้นค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายให้หมอ เป็น10000บาท แต่เภสัชไม่

โพสต์โดย zartingtong » 01 ม.ค. 2009, 14:54

ก็เภสัชก็อย่ามีใช้ทุนสิครับ ลาออกให้หมดก็ขาดแคลนเหมือนกัน
:mrgreen: :mrgreen: :mrgreen:
ภาพประจำตัวสมาชิก
zartingtong
 
โพสต์: 1260
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ส.ค. 2006, 19:14

Re: ขึ้นค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายให้หมอ เป็น10000บาท แต่เภสัชไม่

โพสต์โดย เภสัชกร » 04 ม.ค. 2009, 20:36

H33










:razz:
"ไอดีเท่ห์"
เภสัชกร
 
โพสต์: 12
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ม.ค. 2009, 14:28

Re: ขึ้นค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายให้หมอ เป็น10000บาท แต่เภสัชไม่

โพสต์โดย Nopnutnat » 06 ม.ค. 2009, 17:26

ปี 2556 วิชาชีพ เภสัชกรรม ครบรอบ 100 ปี เรามาเปลี่ยนกลับไปใช้ชื่อ แพทย์ปรุงยา อย่างเดิมดีกว่า ใช้อัตราค่าตอบแทนเดียวกับแพทย์ไปเลย เพราะเป็นแพทย์เหมือนกัน ไม่ต้องแบ่งกันว่าเป็นแพทย์เฉพาะทางด้านไหน แบบทันตแพทย์ไปเลย
Nopnutnat
 
โพสต์: 26
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2008, 05:49

Re: ขึ้นค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายให้หมอ เป็น10000บาท แต่เภสัชไม่

โพสต์โดย PLS » 12 ม.ค. 2009, 17:19

เป็นเภสัชจบใหม่ค่ะ อยู่ รพช พอใจในค่าตอบแทน แม้จะน้อยกว่าเพื่อนที่อยู่เอกชนและเงียบเหงากว่ามาก
เพราะคิดเสมอว่าวิชาชีพของเรามันยังไม่อยู่ตัวเหมือนแพทย์ แต่เป็นวิชาชีพที่ยังต้องเปิดบทบาท ซึ่งยังมีอะไรให้ทำอีกมาก
ถ้าทำได้ละก็ ต่อไปใครๆก็จะรู้ว่าเป็นวิชาชีพที่สำคัญเพียงใด ตอนนี้ก็อดทนไปก่อน
แต่พอมีเรื่องนี้ขึ้น ท้อใจนะคะ ปัญหาเก่าคือไม่รู้เมื่อไหร่จะได้บรรจุ ถ้าใครทำงาน รพช จะรู้ว่าการเป็นข้าราชการหรือไม่สำคัญมาก มันมีการแบ่งชนชั้นกันอยู่ เรื่องนี้ก็มาตอกย้ำอีก ไม่มีกำลังใจทำงานคุณภาพเลย จ่ายยาไปวันๆดีมั้ย แต่ก็จะสู้นะคะ
PLS
 

Re: ขึ้นค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายให้หมอ เป็น10000บาท แต่เภสัชไม่

โพสต์โดย ShioMi » 12 ม.ค. 2009, 19:16

อย่าว่าแต่ รพช เลยครับ

รพ มหาวิทยาลัย ก็มีปัญหาเรื่องชนชั้นครับ

เห็น รพ ที่ประกาศรับสมัครแต่ละแห่ง ไม่มีตำแหน่งข้าราชการ เผยออกมาเลย ส่วนใหญ่มีแต่โยกย้าย
อาจนอกเรื่องจากหัวข้อกระทู้ไปนิด แต่เห็น reply ก่อนหน้าแล้วอยากระบายออกมาบ้าง
ภาพประจำตัวสมาชิก
ShioMi
 
โพสต์: 88
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.พ. 2007, 14:34

Re: ขึ้นค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายให้หมอ เป็น10000บาท แต่เภสัชไม่

โพสต์โดย cowboyman » 18 มี.ค. 2009, 15:47

zartingtong เขียน:เรียน 6 ปีแล้วเค้ายังไม่ให้เหมือนหมอ ก็บอกให้สภาเรียน 5 ปีต่อไปเหอะ
:lol: :lol: :lol:



อันนี้ถูกต้องนะครับ
cowboyman
 
โพสต์: 126
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มี.ค. 2009, 03:05

Re: ขึ้นค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายให้หมอ เป็น10000บาท แต่เภสัชไม่

โพสต์โดย Pharm_36 » 19 มี.ค. 2009, 00:07

สำหรับผม แค่อยากรู้ว่าเค้าเอาอะไรมาเป็นตัวชี้วัดว่าแพทย์ควรได้เท่านี้
เภสัชกรควรได้เท่านี้ และบุคคลากรอื่นๆควรได้เท่านี้ เบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย
ไม่ใช่เงินตอบแทนในการปฏิบัติงาน แต่เป็นเงินคล้ายๆกับเงินกินเปล่า
ที่ต้องจ่าย เพื่อเป็นค่าเดินทางและค่าอาหารในการเข้าร่วมการประชุม
ของบุคคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงานอยู่ในชุมชุน ซึ่งรพทและรพศ
จะไม่ได้ในส่วนนี้ หากจะเพิ่มควรมีการอ้างอิงและควรเพิ่มเป็นหลักการเดียว
กันมากกว่าที่จะออกมาในรูปแบบปัจจุบัน อีกอย่างนะครับช่วยกรุณาอย่าเอา
ไปเปรียบเทียบกับเอกชนเลยครับ เพราะคุณไม่สามารถเพิ่มเงินให้แพทย์
เท่ากับเอกชนได้หรอกครับ เพราะอะไรน่าจะรู้นะครับว่าค่ารักษาพยาบาล
ของเอกชนเท่าไรและแหล่งรายได้ของแพทย์ ทันตแพทย์ ของเอกชนมา
จากไหนส่วนของรัฐ มาจากภาษีเท่านั้นก่อนจะขอรับเงินของรัฐ คุณควรถาม
ตัวเองก่อนดีกว่าไหมว่าทำงานเพื่อประชาชนอะไรบ้างและสมควรจะได้รับ
มากน้อยแค่ไหน คิดดูฝากคิดสักนิดถึงทุกวิชาชีพที่อยู่ในบ้านสาธารณสุข
วิชาชีพสายการแพทย์คุณเรียนมาเพื่ออะไร ต้องการช่วยคนเจ็บป่วย หรือ
ต้องการรีดไถ่จะประชาชน ยิ่งคุณได้รับเงินมากขึ้นเท่าไร วันหนึ่งคุณและ
ประชาชนคนอื่นๆก็จะโดนเก็บภาษีมากขึ้น เพราะรัฐไม่มีเงินจ่ายคุณสบายใจ?
ผมรักประเทศไทย ผมรักในหลวง ผมดีใจที่ได้เรียนวิชาชีพสายการแพทย์
ความภูมิใจของผมคือผมได้เป็นข้ารับใช้ในหลวงในหน้าที่ของเภสัชกรของรัฐ
แม้จะมีความไม่เป็นธรรมต่างๆเกิดขึ้นแบบไม่คาดคิด มันจะเกิดขึ้นอีกไหมกับ
ภาพของแพทย์ที่ออกไปดูแลในชุมชุน ปัจจุบันแพทย์และอื่นๆโดนคำว่าคุณภาพ HA
หลอกหลอนจนขี้ขึ้นหัวต้องทำให้ผ่านก่อนไม่งั้นทำอะไรไม่ได้ ไม่รู้ว่าลืมสนใจ
ผู้ป่วยไปหรือเปล่า สรุปเกี่ยวกันไหมว๊าเอิ๊กๆๆๆๆ :mrgreen: :mrgreen:
Pharm_36
 
โพสต์: 13
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ม.ค. 2009, 14:54

ย้อนกลับต่อไป

ย้อนกลับไปยัง คาปูชิโน

ผู้ใช้งานขณะนี้

New Document