อันนี้เป็นมุมเดียวที่สะท้อนออกมานะครับหากไม่ถูกใจใครหรือกระทบใครเข้าก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ
ทุกคนมองเรื่องการแขวนป้ายว่าเป็นปัญหา และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าที่ที่สมควรปลูกฝังให้รักในวิชาชีพนั่นคือมหาวิทยาลัยแต่ทำไม บางครั้งเรื่องเหล่านี้ก็ยังคงเกิดขึ้น เคยสงสัยบ้างไหมครับ เพราะอะไร.............................
ผมเป็นคนหนึ่งครับที่ทำงานในมหาวิทยาลัย และอยากมีอุดมการณ์สร้างเภสัชที่ดีๆสู่สังคม ตอบแทนภาษีของประเทศชาติที่อุตส่าผลิตเภสัชกรขึ้นมาเป็นผู้รับใช้สังคม ตอบแทนให้สมกับภาษีประชาชนที่สร้างเรามา และไม่เคยคิดที่จะอยากแขวนป้าย
มีอยู่หลายครั้งมีเพื่อนเภสัชมาถามว่าเงินเดือนน้อยไม่แขวนป้ายหรอ ผมตอบอย่างภูมิใจว่าไม่อยากทำร้ายวิชาชีพ แต่สายตาที่มอง ประหลาดใจอย่างมาก มองเหมือนเป็นของแปลก ผมยังแทบเหลือเชื่อครับ แล้วเขาก็พูดว่าเป็นคนดีแล้วมันทำให้อิ่มหรือไง จะว่าไปเงินเดือนผมมันก็ไม่ได้มากมายอะไรหรอกครับ เท่ากับเงินเดือนของเภสัชจบใหม่ทั้งเดือน บวกค่าใบประกอบ และ พตส.ทั้งหมดนี่แหละครับ เอามาหารด้วยสอง ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้จะหาข้ออ้างเอาไปแขวนป้ายหรอกนะครับ เพราะผมไม่คิดที่จะทำมันอยู่แล้ว แต่ผมก็แค่น้อยใจเฉยๆว่าผมเป็นเภสัชกรของรัฐคนหนึ่ง ที่คิดอยากจะทำงานเพื่อประชาชน รับใช้สังคม ไม่อยากแขวนป้ายเพราะทำลายวิชาชีพ แต่ใบประกอบที่สอบมาได้ก็เป็นความภูมิใจเอาห้อยไว้ข้างฝาบ้าน ไม่ได้ค่าใบประกอบเหมือนเภสัชกรของรัฐ หรือเภสัชกรภาคเอกชนทั่วไป ซึ่งทำหน้าที่ในฐานนะของผู้ดูแลและให้ความปลอดภัยในด้านการใช้ยาของประชาชนทั้งๆที่ผมก็ทำงานเหมือนเภสัชกรคนอื่น มีความเสี่ยงไม่ได้น้อยกว่า หรือเพราะผมมาสังกัดภาคการศึกษา ผมเลยเป็นเหมือนอีกวิชาชีพ คือเป็นครู ไม่ใช่เภสัชกร
ทุกวันนี้บอกได้เลยอย่างเต็มอก ว่าผมได้ดูแลคนไข้ตลอด ทำงานทั้งบน ward และ สอนนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ผมทำงาน เสี่ยงไม่ได้ได้น้อยกว่าเภสัชกรโรงพยาบาล ทั่วไป บนwardผมเต็มไปด้วย คนไข้วัณโรคระยะactive ไม่ได้เข้าห้องแยกเพราะห้องไม่พอ คนไข้HIV ที่ตามเตียงเลอะไปด้วยคราบเลือด เราต้องเดินเข้าไปซักประวัติ แพ้ยา การใช้ยา เพราะมันคือหน้าที่ แต่เชื่อไหมครับ ผมยังไม่ได้ พตส ผมไม่ได้ค่าใบประกอบวิชาชีพ ไม่ใช่ว่าสิ่งที่ผมมาพูด เป็นเพราะผมเห็นแก่เงิน ถ้าผมเห็นแก่เงินผมคงไม่มาเลือกทำ แต่แค่มีคำถามว่าเมื่อเราทำงานเป็นเภสัชกรคนหนึ่งทำไม ผมถึงไม่ได้รับในสิ่งที่เภสัชกรทั่วๆไปได้รับ เพราะเหมือนกับรัฐพยายามจะบีบให้ผมอยู่ไม่ได้ เพราะเงินเดือนไม่ได้ตั้งบนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง แถมค่าใบประกอบ และ พตส ทั้งที่ทำงานเป็นเภสัชก็ยังไม่ได้ นี่คือสิ่งที่ตอบแทนให้ กับคนที่อยากทำงานเพื่อประชาชนใช่ไหม นี่คือสิ่งที่ตอบแทนให้กับ เภสัชกรของรัฐ ที่ทำหน้าที่เพื่อคนไข้ และสอนนักศึกษาใช่ไหม บีบจนอยู่ไม่ได้
ทำไมอาจารย์แพทย์ได้เงินค่าประกอบ ค่าทำเวชกรรม แต่อาจารย์เภสัชที่ทำงานบน ward ไม่ได้ แต่หากท่านทั้งหลายเห็นว่า งานที่ผมทำอยู่มันไม่เหมาะที่จะได้สิ่งเหล่านี้ก็ไม่เป็นไรนะครับ ก็คิดเสียว่าผมแค่เอามาเล่าให้ฟังเฉยๆ ผมเล่าเรื่องเหล่านี้ให้เพื่อนบางคนฟัง แต่เขาก็ตอบมาว่า ผมเลือกเอง มันเป็นสิ่งที่ทำอะไรไม่ได้ แล้วต่อไปจะมีคนดีๆที่มีทุนทรัพย์น้อย ที่ไหนอยากเข้ามาทำ เพราะสิ่งที่ตอบแทน มันเป็นเช่นนี้ แต่ทุกวันนี้ผมได้เห็นรอยยิ้มคนไข้ ดวงตาที่เปิดขึ้นพร้อมแสดงความตื่นเต้นเวลาอธิบายเรื่องยาในสิ่งที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน ผมก็มีความสุขแล้ว แต่ผมก็ยังไม่รู้ว่าอีกต่อไปในอนาคต ชีวิตจะเป็นอย่างไร สิทธิที่ได้ก็ประกันสังคม เบิกอะไรกับเขาก็ไม่ได้ ถ้าหากป่วยเป็นโรคเรื้อรังเช่นไต ก็คงจะรอแต่วันตาย เพราะผมคงไม่มีเงินพอที่จะไปฟอกโลหิตกับเขาหรอกครับ ผมทราบดีว่ามันกระทบหลายฝ่ายและไม่ควรพูด แต่มันคือความจริง หากเป็นอาจารย์มันก็คงไม่น่าพูดเรื่องนี้ แต่หากความเสียสละแล้วอยู่ไม่ได้ใครจะอยากมาเป็น
ใครจะอยากมาสอนลูกศิษย์ว่าอย่าห้อยป้าย ผมว่าอาจารย์เภสัช ไม่มีใครอยากแขวนหรอกครับ หากได้เงินค่าใบประกอบวิชาชีพ ซึ่งเป็นขวัญและกำลังใจในการทำงานเหมือนกับเภสัชกรอื่นๆทั่วไป หากแจ้งสภา สภาก็จะโยนเข้ามหาวิทยาลัย ต้องใช้เงินมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยก็จะโยนเข้ากระทรวงสาธารณสุข เพราะทำงานให้กระทรวง โยนไปโยนมา เรื่องก็หายเงียบต่อไป
หากท่านผู้อ่านทราบว่าผมคือใครก็กรุณาอย่าpost ชื่อเลยนะครับ อย่าพยามidentifyเลยครับว่าผมคือใคร ผมแค่อยากแสดงความคิดเห็นในมุมมองของผมเท่านั้นเอง และอย่าเอาไปอ้างอิงกับอาจารย์ท่านอื่นด้วยนะครับ เพราะนี่มันเป็นแค่มุมเดียว
[color=#0000FF]ด้วยอุดมการณ์อันมั่นคง จะเทิดธงวิชาชีพนี้ เพื่อศักดิ์ศรีของเรา...เภสัชกร. ...[/color]