โดย azzuri » 11 พ.ย. 2006, 10:27
ความจริงที่เรารู้กันว่า..เจ้าอนุวงศ์แพ้ คุณหญิงโม....................
กองทหารเจ้าอนุวงศ์เมืองเวียงจันทน์ รุกราน
ลุปี พ.ศ.๒๓๖๙ เจ้าอนุวงศ์ เจ้าผู้ครองนครเวียงจันทน์ ซึ่งมีความขุ่นเคืองและคิดแค้น ได้วางแผนทำศึกกับ กรุงเทพฯ ได้ วางแผนแล้ว ให้ยกกำลังกองทัพข้ามดขงมาตั้งที่บ้านพันพร้าว ฝึกทหารและช้างม้า จนถึงเดือนยี่ แรม ปีจอ พ.ศ.๒๓๖๙ ปลายปี จึงสั่งให้เจ้านครจำปาศักดิ์ (เจ้าราชบุตร โย้) ยกกองทัพจากนครจำปาศักดิ์ เข้ายึดหัวเมืองตะวันออก (อุบลฯ เดิมชื่อดอนมดแดง ได้ชื่อใหม่จากเมืองเขื่อนขันธ์กาบแก้หนองบัวบาน เป็นเมืองอุบล เมื่อพระอนุชา ร.๕ มาปกครอง จึงเป็นอุบลราชธานี)
สั่งให้เจ้าอุปราชติสสะ (น้องชายเจ้าอนุวงศ์) ยกทัพมายึดหัวเมืองตะวันออกเฉียงเหนือ (ร้อยเอ็ด) เอาไว้ กันหัวเมือง ทางใต้จะต่อสู้
สั่งให้เจ้าราชวงศ์เหง้า บุตรคนที่ ๒ ยกทัพจากบ้านพันพร้าว เป็นทัพหน้าลงมาทางบ้านเดื่อหมากแข้ง (อุดรธานี) ล่วงหน้า ไปก่อน ๒ วัน แล้วเจ้าอนุวงศ์กับเจ้าสุทธิสาร (โป้) บุตรคนโต ยกทัพหลวงตามมา โดย ออกข่าวลวงว่าทางกรุงเทพฯ มีศุภอักษรแจ้งว่า อังกฤษจะยกทัพเรือมาตีกรุงเทพฯ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ เจ้าอนุวงศ์เกณฑ์กองทัพจากเวียงจันทน์ไปช่วย เจ้าเมืองกรมการเมืองรายทางไม่รู้เท่าทัน และเห็นว่า เจ้าอนุวงศ์ไปกรุงเทพฯ บ่อยๆ ก็เชื่อว่าจริง จึงช่วยจ่ายเสบียงให้
กองทัพหน้าของเจ้าราชวงศ์เหง้า ได้มาถึงบ้านโคกสูง รายทัพมาถึงบ้านจอหอน (จอหอ) สามแยกทางเกวียน หน้าเมือง นครราชสีมา เมื่อวันพุธ เดือน ๓ แรม ๓ ค่ำ ปีจอ ตรงกับวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๓๖๙ เวลาบ่าย ๓ โมง ออกข่าวแพร่ สะพัดไปว่าจะไปช่วยกรุงเทพฯ รบกับอังกฤษ
วันรุ่งขึ้น เจ้าราชวงศ์เหง้าทำหนังสือให้ทหารถือมาขอเบิกเสบียงอาหารจากในเมืองนครราชสีมา ขณะนั้น เจ้าพระยา กำแหงสงคราม (ทองอินท์) เจ้าเมืองนครราชสีมา และพระยาสุริยเดช (ทองคำ) ปลัดเมืองไม่อยู่ นำทหารส่วนมากไป ราชการที่เมืองขุขันธ์บุรี (เพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างพระยาไกรสงครามเจ้าเมืองขุขันธ์ กับหลวงยกกระบัตรผู้น้อง ซึ่ง เกิดวิวาทแย่งสมบัติและความเป็นใหญ่กันในเมืองขุขันธ์บุรี) จึงเหลือพระยา พรหมภักดี ยกกระบัตรเมืองนครราชสีมา เป็นผู้รักษาราชการ พระณรงค์สงครามเป็นที่ปรึกษาฝ่ายทหาร คุณหญิงโม ภริยาปลัดทองคำ เป็นผู้ดูแลครอบครัว ผู้ไปราชการ และมีข้าราชการผู้น้อยเป็นผู้ช่วยเหลืออีกบ้าง เมื่อได้รับหนังสือขอเบิกเสบียงอาหารของเจ้าราชวงศ์เหง้า จึงหันหน้าเข้าปรึกษาหารือกัน มีความเห็นเป็น หลายทาง
๑. สงสัยพฤติการณ์ของเจ้าอนุวงศ์ว่าจะหลอดลวง เพราะถ้าเกิดเหตุร้ายจริงๆ ทางกรุงเทพฯ จะต้องบอกเมือง นครราชสีมาก่อน เพราะอยู่ต้นทาง เหตุใดจึงไปบอกเวียงจันทน์ก่อน
๒. อาจจะเป็นความจริงตามที่เจ้าอนุวงศ์ให้ออกข่าวมา เพราะเจ้าอนุวงศ์ไปพักในกรุงเทพฯ บ่อยๆ มีความ สนิทชิดเชื้อกับในหลวง (ร.๓) ดี อาจจะมีพลนำสารพิเศษโดยตรง ไปแจ้งแก่เจ้าอนุวงศ์ ถ้าเป็นความจริง และ เราไม่ต้อนรับก็จะเป็นความผิดต่อกรุงเทพฯ ด้วย
๓. จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ตาม เมืองนครราชสีมาก็ต้องให้การต้อนรับ จะต่อสู้ขัดขืนมิได้ เพราะทหารเมือง นครราชสีมาเหลืออยู่น้อย ไม่พอรักษาหน้าที่เชิงเทิน ส่วนทหารเวียงจันทน์ยกมาจำนวนมาก (ความจริงมี ประมาณสามหมื่น แต่เจ้าอนุวงศ์ออกข่าวว่ามีมาเป็นแสน)
ตกลงดังนั้นแล้วจึงจ่ายเสบียงให้แก่ทหารของเจ้าราชวงศ์เหง้า รับและตักเตือนประชาชนให้อยู่ในความสงบ อย่า ตื่นกลัว และอย่าก่อเหตุร้ายใดขึ้น
ขณะนั้นกองทัพหลวงของเจ้าอนุวงศ์ถึงลำเซิน พักพลอยู่ใกล้ชัยภูมิ เมื่อได้ข่าวว่าทัพหน้ามาถึงเมือง นครราชสีมาแล้ว ไม่มีใครขัดขวาง เจ้าอนุวงศ์ก็เคลื่อนทัพหลวงมาถึงเนินดินทางตะวันออก ข้างเมือง นครราชสีมา (เดี๋ยวนี้เป็นวัด ทุ่งสว่าง) เมื่อวันเสาร์ เดือน ๓ แรม ๖ ค่ำ ปีจอ ตรงกับวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๓๖๙ แล้วใช้ทหารถือหนังสือมาเชิญ เจ้าเมืองนครราชสีมาให้ออกไปพบเพื่อปรึกษาราชการในการ จะยกทัพไปช่วยกรุงเทพฯ รบกับอังกฤษ
พระยาพรหมภักดี ยกกระบัตรเมืองนครราชสีมา จึงออกไปแทนเข้าพบเจ้าอนุวงศ์ทำความเคารพโดยอ่อนน้อม แล้วแจ้งว่าเจ้าเมืองนครราชสีมาและพระยาปลัดเมืองฯ ไม่อยู่ ไปราชการเมืองขุขันธ์บุรี เหลือแต่ข้าราชการ ผู้น้อย กับทหารเล็กน้อยอยู่รักษาเมือง เจ้าอนุวงศ์ได้ฟังดังนั้นก็ดีใจเพราะจะเข้าเมืองโดยง่าย ไม่ต้องรบ จึงพูดจาเกลี้ยกล่อม พระยาพรหมยกกระบัตร ให้เชื่อฟังคำบอกเล่า และขอเข้าพักในเมืองด้วย พระยาพรหม ยกกระบัตรเห็นจวนตัว ไม่อาจ ปฏิเสธได้จำเป็นต้องเชื้อเชิญเจ้าอนุวงศ์เข้าเมือง
เจ้าอนุวงศ์เข้าเมืองนครราชสีมาแล้ว เห็นว่าเมืองนครราชสีมามั่นคง แข็งแรก มีกำแพง คู ประตู หอรบ และเสบียง อาหารพร้อม ตั้งเป็นฐานทัพได้ ถ้าหากทัพหน้าแตกมา ก็จะตั้งรับที่เมืองนครราชสีมา ยึดเอา เมืองนครราชสีมาไว้ จะได้ปกครองดินแดนแถบนี้ทั้งหมด
วันรุ่งขึ้นเจ้าอนุวงศ์ จึงไม่ยอมออกจากเมือง ได้สั่งให้ทัพหน้าโดยเจ้าราชวงศ์เหง้า ยกไปปากเพรียว (สระบุรี) เพื่อ เตรียมการเข้าตีกรุงเทพฯ และกวาดต้อนครอบครัวเวียงจันทร์ (สมัยก่อน) เอาคืนไปเวียงจันทร์ และสั่งให้ทัพหลวง ทั้งหมดตั้งค่ายชักปีกกาทางทิศเหนือเมืองจากสามแยกทางเกวียน (จอหอ) มาประชิดกำแพงเมืองด้านเหนือ และตั้ง กำแพงเมืองด้านใต้ออกไปทางทิศอาคเนย์ ตะวันออกทุ่งทะเลหญ้า ทำค่าย คู ประตู หอรบ รวม ๗ ค่าย ทำมูลดินสูงขึ้น (เดียวนี้ยังอยู่ เรียกว่าบ้านหัวถนน บ้านดอนขวาง และบ้านโนนฝรั่ง)
ชาวเมืองนครราชสีมา เห็นกองทัพลาวไม่ยอมออก และตั้งค่ายประชิดเมืองดังนั้น ก็รู้ว่าเจ้าอนุวงศ์ทรยศแล้ว ไม่เหมือนที่ บอกว่าจะไปช่วยกรุงเทพฯ รบกับอังกฤษ ก็แสดงอาการกระด้างกระเดื่องด่าว่าทหารลาว รุ่งขึ้น อีกวันหนึ่ง เจ้าอนุวงศ์รู้สึก ไม่ไว้วางใจเกรงชาวเมืองจะลุกฮือขึ้นทำร้าย จึงสั่งทหารลาวออกตรวจค้นริบอาวุธ ต่างๆ ทุกบ้านเรือน เป็นการแน่ชัดว่า เจ้าอนุวงศ์เป็นกบฎ เป็นศัตรู
รุ่งขึ้นอีก ๒ วัน เจ้าอนุวงศ์สั่งให้คณะกรมการเมืองนครราชสีมาเข้ามาอยู่ในกองบัญชาการเพื่อเป็นที่ปรึกษา แต่ความจริง เพื่อเอาเป็นตัวประกันไว้ แล้วสั่งให้ชาวเมืองออกไปอยู่นอกเมืองให้หมด ขุนโอฐ กรมการเมือง จึงอพยพชาวเมือง นครราชสีมาออกไปอยู่บ้านหมื่นไวย ทางเหนือเมืองนครราชสีมา ตั้งแต่วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๓๖๙ (ปลายปี)
ฝ่ายเจ้าพระยานครราชสีมา และพระยาปลัดทองคำ ได้ทราบข่าวว่าเจ้าอนุวงศ์ยกทัพมายึดเมืองนครราชสีมา ไว้แล้ว จึงได้ วางอุบายผละจากเมืองขุขันธ์บุรี โดยให้เจ้าพระยานครราชสีมานำกำลังส่วนมากไปรายงาน เรื่องราวในกรุงเทพฯ และขอให้ยกทัพไปช่วยกู้เมืองนครราชสีมา ส่วนพระยาปลัดทองคำจะนำกำลังส่วนน้อย เข้าไปในเมืองนครราชสีมา เพื่อคิดการ แก้ไขต่อไป
ฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ยึดเมืองนครราชสีมาอยู่จนปลายเดือนกุมภาพันธ์ สะดุ้งใจได้คิดว่าชาวเมืองนครราชสีมา ไปรวมกลุ่มอยู่ นอกเมืองอาจจะก่อความวุ่นวายทำอันตรายได้ และถ้ากองทัพจากกรุงเทพฯ ยกมาได้รบพุ่งกัน ชาวเมืองนครราชสีมา ก็จะช่วยกองทัพกรุงเทพฯ เข้าตีกระหนาบ กองทัพลาวก็จะเป็นอันตรายได้ง่าย ครั้นวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๓๖๙ เจ้าอนุวงศ์ก็ให้เชิญคณะกรมการเมืองนครราชสีมา ที่มีอยู่ทั้งหมดมาประชุม แล้วบอกว่า เกรงจะเกิดสงครามใหญ่ สงสารพวกครอบครัวชาวนครราชสีมาจะเป็นอันตราย จึงคิดจะอพยพ ครอบครัวในเมืองนี้ ไปอยู่เมืองเวียงจันทน์ให้พ้นภัย จึงให้พระยาพรหมยกกระบัตรนำคณะกรมการเมือง สำรวจทำบัญชีครอบครังที่จะไป อนุญาตให้อยู่เฉพาะคนแก่ คนป่วย คนแม่ลูกอ่อนที่ลูกยังไม่หย่านม และพระสงฆ์สามเณร พระยาพรหมยกกระบัตรและคณะฯ ก็ไปดำเนินการตามสั่ง ดำเนินการเสร็จแล้วก็เอา บัญชีจำนวนคนมาเสนอ เจ้าอนุวงศ์เห็นบัญชีคนจำนวนมากมีผู้ชาย ๘,๐๐๐ เศษ ผู้หญิงหมื่น เศษ ถ้าอพยพ ไปพร้อมกันจะลำบากควบคุมดูแลไม่ทั่วถึง จึงสั่งแยกเป็น ๔ ขบวนเดินทาง ให้เดินขบวนละวันตาม คือ
ขบวนที่ ๑ นำโดยคุณหญิงโม ออกเดินทางวันที่ ๑ มีนาคม ๒๓๖๙
ขบวนที่ ๒ นำโดยพระพิทักษ์โยธา ออกเดินทางวันที่ ๒ มีนาคม ๒๓๖๙
ขบวนที่ ๓ นำโดยพระณรงค์สงคราม ออกเดินทางวันที่ ๓ มีนาคม ๒๓๖๙
ขบวนที่ ๔ นำโดยพระยาพรหมยกกระบัตร ออกเดินทางวันที่ ๔ มีนาคม ๒๓๖๙
มีทหารลาวชั้นนายฮ้อยเป็นผู้ควบคุมแต่ละขบวน มีทหารลาวคุมไปขบวนละ ๕๐๐ คน รวมทหารลาวมี ๒,๐๐๐ คน ให้ เพี้ยรามพิชัยเป็นแม่กองควบคุมการกวาดต้อนทั้งหมด ซึ่งเพี้ยรามพิชัยไปพร้อมขบวนหน้า
ฝ่ายพระยาปลัดทองคำ เร่งรีบเดินทางทั้งกลางวันกลางคืนหลายวัน จึงถึงเมืองนครราชสีมาเมื่อวันที่ ๔ มีนาคม ๒๓๖๙ ตอนกลางวัน ขบวนกวาดต้อนไปหมดแล้ว จึงพักทหารไทย ๕๐ ไว้นอกเมือง แล้วเข้าไปหาเจ้าอนุวงศ์ ด้วยมือเปล่า
ขณะนั้นเจ้าอนุวงศ์กำลังตรวจค่ายและสั่งงานอยู่ที่ค่ายบึงทะเลหญ้า พระยาปลัดฯ ก็เข้าไปกราบกราน อย่างอ่อนน้อม และ กราบทูลว่าข้าพระพุทธเจ้ากับเจ้าเมืองนครราชสีมาไปราชการที่เมืองขุขันธ์ยังไม่เสร็จธุระ พอได้ทราบว่าเจ้าย่ำ กระหม่อมเหยียบเมืองนครราชสีมา เจ้าเมืองนครราชสีมามีความเกรงกลัวพระบารมี จึงพอทหารจำนวนมากหลบหนี ไปทางสวายจีก คงจะไปพึ่งดินแดนเขมร ส่วนข้าพระพุทธเจ้าห่วงใยครอบครัว และเกรงว่าพระยาพรหมยกกระบัตร จะต้อนรับเจ้าย่ำกระหม่อมไม่สมพระเกียรติจึงรีบมาเฝ้า เพื่อรับใช้ เจ้าย่ำกระหม่อมตามแต่จะมีบัญชาใช้ และขอฝากเนื้อ ฝากตัวไปรับใช้รับราชการในเวียงจันทน์จนกว่า ชีวิตจะหาไม่
เจ้าอนุวงศ์เห็นกิริยาพระยาปลัดทองคำแสดงความนอบน้อม พูดจาน่าฟังก็ยินไต่ถามทุกข์สุขตามสมควร รับปากจะให้ ไปอยู่รับราชการในเวียงจันทน์ด้วยกัน "ตอนนี้ครอบครัวชาวเมืองได้อพยพไปแล้ว ให้ลุงติดตาม ไปเถิด" แล้วเจ้าอนุวงศ์ ก็ทำหนังสืออนุญาตเข้าขบวนให้พระยาปลัดทองคำถือไปด้วย พระยาปลัดฯ ออกมาสั่ง ให้ทหารของตน ๕๐ คน แยกย้าย กันไปตามบ้านนอก ให้บอกแก่คนทั้งหลายที่พบเห็นว่าจะช่วยกันกู้อิสรภาพ ของเมืองเราเร็วๆ นี้ ให้คอยฟังข่าว และมา ร่วมมือกับคุณหญิงโม ส่วนตัวพระยาปลัดหาม้าได้ตัวหนึ่ง ก็รีบติดตามขบวนอพยพไปโดยด่วน
แก้ไขล่าสุดโดย
azzuri เมื่อ 11 พ.ย. 2006, 10:29, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
เภสัชกร = เภสัชกรรม + กรรมกร
อยากให้โลกนี้ไม่มีโชคร้าย
Welcome to My LifeCasa di AzzurRi = บ้านของนาย อัซซูร์รี่