ผมเคยคุยกับจขรย.แถวสมุทรปราการ(คนละร้านกะที่โพสด้านบน) เขาให้รายชั่วโมง150บาท ผมถามว่าถ้าเภสัชอยู่ที่อื่นเช่นนนทบุรี หรือสาย4อยากมาทำจะต่อรองค่าจ้างได้ไหม เขาบอกว่า เขาต้องการเภสัชที่อยู่แถวนั้น(งั้นมรึงไม่สิต้องสุภาพหน่อยงั้นคุณก็ต้องหานานหน่อยหรือหาต่อไปเพราะไม่open)ความจริงในใจเขาอาจจะคิดว่า"กูให้เรทนี้เรทเดียวไม่ว่าพวกมรึงจะอยู่ที่ไหนของโลก"หรือจขรย.นี้อยากจะเลี่ยงสันสกฤต. คือไม่ต้องการให้ต่อรองก้อเลยแถว่ารับเฉพาะเภสัชที่อยู่แถวนั้น จขรย.ทั้งหลายอาจคิดคล้ายๆกันคือจ้างเรทนี้ต้องเรทนี้เท่านั้น ไม่ต้องต่อรอง เพราะเขาบวกลบคูณหารมาแล้ว. ก้อเป็นเรื่องของเภสัชที่จะไปทำงานต้องคิดเอาเองว่า เรทจ้างรายชั่วโมงเท่านี้ จำนวนชั่วโมงทำงานต่อวันเท่านี้ คุ้มค่าที่เราจะเสียเวลาอาบน้ำแต่งตัว รวมกะค่าเดินทาง ค่าแรง ค่าเสียเวลาไปทำงานให้หรือไม่ แต่ต้องขอย้ำว่า"เรทรายชั่วโมงขั้นต่ำคือ150บาท จากการคำนวณมาแล้วอย่างดี ไปหาย้อนดูได้ผมโพสไปนานแล้ว
(เภสัชที่มีประสบการณ์บริบาลเภสัชกรรม จากทีมีการจ้างจริงในเวลานี้มาเฉลี่ยได้ประมาณนี้ ปสก.16-20ปี++ เรทที่170-200+/ชั่วโมง
ปสก.10-15ปี เรท160-170/ชั่วโมง
ปสก.6-10ปี เรท 150-160/ชั่วโมง
ปสก.น้อยกว่า6ปีลงมาประมาณ150/ชั่วโมง)ใครจะจ้างต่ำกว่านี้ มันเรื่องของเขา เราก็เฉยซะ ถ้าเราไปยอมรับอย่างที่เภสัชเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว. ไร้สติ ไร้วิสัยทัศน์บางคนทำอยู่ตอนนี้ พวกเราส่วนมากก็จะไม่ได้อะไรเลย ต้องต๊อกต๋อยย่ำอยู่กะที่กะค่าแรงต่ำๆไปตลอดชาติ ไม่มีใครมาช่วยด้วย เพราะพวกเราทำลายกันเองขัดขาแทงข้างหลังกันเอง เพราะความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ครอบครัวตัวเอง ไม่นึกถึงเพื่อนร่วมวิชาชีพเรือนหมื่น รวมถึงความเห็นแก่ตัวในเรื่อง ที่เห็นว่า ร้านหรือโรงพยาบาลอยู่ใกล้โรงเรียนลูก หรือใกล้บ้านตัวเอง โดยไม่สนใจคนในวิชาชีพเขียวมะกอกด้วยกัน ก้อไม่ต้องไปเรียกร้อง ค่าจ้างที่เหมาะสมกะใครเพราะพวกเราฆ่ากันเองมันก้อเป็นกันซะอย่างนี้ จขรย.เขารู้ไต๋ดีว่าพวกเรามันมีจุดอ่อน เขาจึงไม่จ้างแพง เพราะเดี๋ยวก็จะมีไอ้พวกเภสัชเห็นแก่ตัว มาติดเบ็ด เพราะร้านกูคงต้องอยู่ใกล้บ้าน หรือใกล้โรงเรียนลูกของไอ้พวกเภสัชเห็นแก่ตัวบางคน ก้อจ้างมันแค่120-130บาท/ชั่วโมง เดี๋ยวพวกมันก็แห่กันมาเอง555 ถ้าไอ้เภสัชคนไหนจะมาต่อรอง ก้อบอกมันว่า "คนก่อนก้อจ้างเท่านี้ จบ." ก้อจ้างเท่านี้จริงๆ ไงล่ะพวกเราคิดเอาเองนะ พวกรักใกล้บ้าน รักลูกมากกว่ารักในการยกระดับวิชาชีพ อีกไม่นานค่าแรงอาจจะต่ำกว่า พยาบาล รวมทั้งพวกหมอสัตว์ด้วย ทั้งที่คะแนนแอดมิชชั่น(บางคนว่าห้ามเปรียบเทียบกันเพราะสอบไม่เหมือนกัน)เอางี้ มูลค่าวิชาชีพทางสังคมมันต่างกันอยู่แล้ว. ดูเหมือนว่าหมอสัตว์รายได้จะมากกว่าแล้ว ส่วนรายได้พยาบาลก้อหายใจรดต้นคอเภสัชอยู่ เอาซี่ ใครจะอยู่วิชาชีพนี้ต่อหรือใครจะให้ลูกหลานไปเรียนหมอสัตว์ดีกว่า? จัดไปครับ
ทิ้งท้ายอีกนิดว่า สำหรับพวกรายเดือน มาตรฐานขั้นต่ำเรทนี้ครับ "5 วัน8ชั่วโมง(บางร้านพักในเวลาไม่คิดแยก)หรือ8พัก1 =26,500บาท ไม่รวมใบ
ค่าใบฯ10,000-12,000-15000( 20,000บางที่แต่ให้ระวัง)ยังมีให้5000จริงๆในพ.ศ2562!!!
(26500/(22x8)=150.57บาท/ชั่วโมง) ส่วนใครที่ไม่ตรงกะเรทนี้ก็ลองหาทางคำนวณเปรียบเทียบกันเอง อย่าไปหลงกะตัวเลขจอมปลอม4-5หมื่น แต่ให้ทำงานเป็น10ชั่วโมงกว่าต่อวัน6วันต่อสัปดาห์ รวมค่าหยิบ ค่าคอม ฯค่าจอมปลอมโน่นนี่นั่น อย่าไปสนใจครับ พวกนี้อาจจะเป็นพวกเดียวกะ"เสี่ยทอปนักธุรกิจหมื่นล้านจอมปลอม กะแม่มณี(เดียร์) แม่มะนาว สร้างภาพหลอกเหยื่อสวยหรู ให้รอโอนเงิน ไม่โอนซักที.ให้มาร่วมเล่นแชร์ ดอกร้อยละ93 จ่ายให้เดือน2เดือนแล้วเงียบหายไปทั้งต้นทั้งดอก"ตัวเลขรายได้ที่บอกไว้นี้เป็นตัวเลขขั้นต่ำ เภสัชที่ทำสาขาอื่นนอกจากร้านยา นำไปเป็นแนวทางได้ครับ ไม่ต่างหรือใช้ตัวเลขเดียวกันเลยก็ได้อยู่ ยกเว้นพวกราชการพวกนี้เขามีกฏเกณฑ์และวัฒนธรรมที่ครอบงำ โดยมีอำนาจรัฐ และคนใช้อำนาจรัฐ ออกกฏระเบียบ เขาปกครองตามลำดับชั้น ห้าม"หืออือ"และห้ามประชาชนหืออือหรือไม่ ไม่รู้ แต่มี กฏหมายความมั่นคง กฏหมายหมิ่นสารพัด และกฏหมายการกระทำความผิดทางเทคโนโลยี่เอาไว้ปิดปาก เอาไว้จัดการพวกหืออือหรือไม่ไม่รู้ อีก(ข่าวล่ามาช้าแจ้งว่าคนโตบางคนในแวดวงนี้ ไม่อยู่กะพวกเราแล้ว เกี่ยวกะกัญชาหรือไม่ก้อไม่รู้ เพราะไม่อยากรู้ ไปแล้วก้อดีแล้วหรือไม่ ไม่รู้อีกเช่นกัน555559)
พวกเภสัชในราชการอย่าไปยุ่งกะรายได้เขาเลย เขามีกฏเกณฑ์และการสั่งการเป็นเรื่องภายใน เข้าถึงได้ ปรับเปลี่ยนได้ถ้าไปเล่นการเมือง แล้วได้ตำแหน่งระดับบิ๊ก!!!ไปอ่านเจอประกาศหาเภสัชทำงาน แค่วันเดียวช่วงปีใหม่ ของบริษัทยาข้ามชาติในห้างแถวสยามสแคว แต่จ่ายค่าจ้างดีเหลือเกิน 170บาท/ชั่วโมง แล้วแถมให้อีก400บาท ต่างหาก ไม่ถึงครึ่งวัน หรือเร็วกว่านั้น ได้เภสัชทำงานแล้ว ผมเคยเขียนไปแล้ว ถ้าจ่ายค่าจ้างดี ไม่ต้องมาอัฟเดทประกาศเลย แค่โพสเสร็จ ก็จะได้คนทำงานทันที แต่พวกจ้างเรท ฟลอๆๆ มึงก็อัฟเดทไปชั่วนาตาปี (เช่นร้านแถวนนทบุรีบางร้าน )เพราะอัฟเดทมันไม่เสียเงินเพิ่ม นอกจากค่าไฟชาร์แบตไม่ถึงเศษสตางค์ แต่เสียเวลาและโอกาสทางธูรกิจมหาศาล แต่พวกเจ้าของงานไม่คิดเช่นนั้น เขาอาจคิดว่า "เวลา เป็นของไม่มีค่า ได้มาฟรีๆ "เขาจึงปล่อยให้เวลาผ่านไป แล้วก็ผ่านไป ยอมเสียเวลา และค่าไฟชาร์ตแบตไม่ถึงเศษสตางค์ มานั่งอัฟเดท ยอมทิ้งโอกาสทางธุรกิจ ดีกว่ามาเสียค่าจ้างที่เขาคิดว่าแพงมาจ้างเภสัช คนพวกนี้อาจลืมไปว่าชีวิตคนเรานั้นไม่ยืนยาวนัก จะเกิดอะไรขี้นถึงชีวิตหรือไม่ เราไม่สามารถคาดเดาได้ คนพวกนี้ยอมเสียเวลาและโอกาสทางธุรกิจมากกว่าเสียเงิน!! ความจริงแล้วโอกาสทางธุรกิจมันก็คือเงินและผลประโยชน์อย่างอื่นที่จะได้กลับคืนมา เกินคุ้มและเกินค่ามากกว่าเงินค่าจ้างที่เสียไปซะอีก เรื่องของวิสัยทัศน์และมุมมอง มันบอกกันได้ แต่จะทำตามหรือไม่ มันคงแล้วแต่บุญวาสนาของแต่ละคน บางคนแย้งว่า ร้านนั้นเขาจ้างวันเดียวก็จ้างแพงได้สิ ไม่ใช่หรอก ถึงจะจ้างยาวๆ ก็จ้างแพงได้ แต่อาจจะไม่ต้องมีเงินแถมพิเศษก็ได้ จ้างยาวๆ สิ่งที่จะได้มา ก็ได้กลับมายาวๆเช่นกัน
และผมเคยบอกแล้วอีกเช่นกัน ถ้าไม่พร้อม ก็ทำเองไม่ต้องจ้าง เพราะถ้าจ้างเรทต่ำๆ ก็หาคนไปเถอะ เพราะเภสัชตอนนี้ เขาหูตาสว่างแล้ว บางคนพอเริ่มหูตาสว่างก็ลาออกจากร้านที่จ้างต่ำๆเลย จะอยู่ทำไมให้เสียเวลาและโอกาสในการหาตัง มีอีกหลายร้านที่จ้างเรทมาตรฐานหรือสูงกว่า คงไปบังคับใครไม่ได้ เพราะการอัฟเดทไม่เสียตังนอกจากค่าไฟเพียงเศษสตางค์ ยอมทิ้งเวลา ไปโดยปล่าวประโยชน์ คงคิดว่าชีวิตคงจะยืนยาวจนเห็นภูเขาน้ำแข็งขั้วโลกละลายหมดและกรุงเทพจมอยู่ใต้บาดาล
เพิ่มเติมอย่างนี้ สำหรับเพื่อนพ้องน้องพี่ที่มีโอกาสหรือถูกใจที่ไปจะทำงานร่วมกะบรรดาจขรย. ทั้งใช่และไม่ใช่เภสัชเป็นเจ้าของ และมักจะมีประกาศเชิญชวนให้ไปร่วมงานด้วยคำว่า"เจ้าของร้านใจดี หรือ อยู่กันแบบพี่น้อง หรือทั้งใจดีและอยู่กันแบบพี่น้อง" ลองทำที่ผมจะว่าดังต่อไปนี้ครับ
1.เมื่อทำงานไปซัก2-3เดือนหรือตามความเหมาะสมหรือสะดวกของแต่ละคน ให้ขอเจ้าของร้าน ปรับค่าจ้างเพิ่มตามที่เราต้องการ ถ้าเจ้าของใจดี หรืออยู่กันแบบพี่น้องจริง จะได้มากหรือได้บ้าง ยังไงแล้ว"ต้องได้"นี่สิถึงจะใจดีจริง และถ้ามีโอกาสอันควรก้อควรขอเพิ่มค่าจ้างอีก
2.ขอลาหยุดตามเราสะดวก และมาทำงานตามเราสะดวกด้วยเผื่อว่าวันไหนฝนตก หรือโลกจะแตก หรือมีรถถังออกมาวิ่ง เราอาจจะมาหรือไม่มาหรือมาสายได้ตามประสาพี่น้องคุยกันได้ยืดหยุ่นกันได้ใช่คนอื่นไกล ถ้าเราได้ตามต้องการ นี่สิ ถึงจะอยู่แบบพี่น้อง และใจดีจริง
3.ถ้าไม่เป็นไปตามข้อ1.และข้อ2.ก้อสรุปว่า คนพวกนี้ประกาศ"หลอกลวงชาวโลก"ดูถูกและเห็นพวกเภสัชเป็นพวกโง่ พวกไร้ความคิด พูด บอกอะไรก้อเชื่อ โง่ชิบห.."เราจะยอมเป็นอย่างนั้นเหรอ ถ้าไม่ยอม ใครที่ประกาศหลอกลวงชาวโลกแล้วไม่ทำตามที่ประกาศไว้ ถ้าเราไม่ฟ้อง ปอท. เราต้องเอาพวกนี้มา"ประจาน"ครับแล้วประหารด้วยเครื่อง"ประหารหัวตัวเงินตัวทอง"!!! ไหนๆจะเพิ่มเติมแล้ว เอาให้สุด บางร้านให้ผลตอบแทนดีมากๆ 5-7 หมื่นกว่า ต่อเดือน โดยรวมโน่นนี่นั่น และมี เงื่อนไข รายละเอียด ข้อกำหนด สิ่งที่เภสัชต้องมีต้องทำ สิ่งที่ร้านอยากจะได้อยากจะให้เป็น จากผลการทำงานในร้านของ ตัวเภสัช และอื่นๆอีกพอสมควร ร่ายยาวเป็นหางว่าว ก็โอเค ชัดเจน แฟร์ดี ไม่ต้องมามีปัญหากันตอนหลัง แต่ทำไมยังหาเภสัชไปทำงาน ไม่ได้ ทั้งๆที่ค่าตอบแทนเกินครึ่งแสน!!? ค่าจ้างแพงๆๆใครๆก็อยากได้ แต่เงื่อนไขรายละเอียด เยอะแยะมากมาย มันเป็นแรงกดดัน ทีต้องเจอ เมื่อไปทำงานจริง ทำให้ชีวิตมันไม่มีความสุขในการทำงาน และหาเรื่องไม่สบายใจโดยไม่จำเป็น ค่าจ้างมาตรฐาน หรือสูงกว่ามาตรฐานนิดหน่อย แต่ enjoy life สบายจิต ชีวิตงาน ชีวิตส่วนตัวมีความสุข ดัชนีความสุข ของตัวเรา มันพีค ทำให้ชีวิตยืนยาว ไม่เครียด เราก็อยู่กะครอบครัวและคนรอบข้าง อย่างมีความสุข จะไปท่องเที่ยวที่ไหนก็ไป
การได้เรียนรู้ ได้กระทำ จากสิ่งที่ร้านที่มีเงื่อนไขยาวเหยียดกำหนด อาจจะดีในบางคน ถ้าเขาต้องการ แต่ไม่ใช่ทุกคนต้องการ ถ้าการเรียนรู้ ไม่ตรงกะสิ่งที่อยากรู้ การอยากมีร้าน มีเพียงบางคน น่าจะไม่มากที่อยากมี เพราะ มันต้องใช้ทุน ต้องหาทำเล ต้องมีเวลา ต้องใส่ใจรายละเอียด รวมทั้งข้อกฏหมายบังคับที่หยุมหยิม และมากขึ้นและต้องเกี่ยวข้องกะหน่วยราชการอื่นด้วย เช่นกรมสรรพากร ที่เข้มในการตรวจสอบมากกว่าเก่าเยอะในเรื่องสารพัดบัญชี และการทำรายงาน แต่ถ้าชอบ ทุกอย่างก็เรื่องเล็ก แต่ถ้าไม่ชอบ ขอเป็นเภสัชฟรีแลนซ์ ง่ายและสะดวกสบายกว่ามาก มีเวลา กะตัวเองและคนรอบข้างมากกว่า รับผิดชอบแค่ตัวเอง และหาความรู้ ตามความต้องการของตัวเองและสภาเภสัช เรื่องรายได้ ก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี อาจไม่ใช่มากสุด แต่ก็อยู่ได้สบายๆๆไม่เครียด แต่ถ้าได้ทำงานกะร้านที่ไม่มีเงื่อนไข แต่ให้รายได้เกินครึ่งแสน ก็เป็นเรื่องที่ดี ร้านเองก็จะหาเภสัชง่ายมาก แต่ถ้าคิดว่าเงื่อนไขไม่ยาวเป็นหางว่าวจะไม่สมกะค่าจ้างแพงๆ จขรย.ก็จัดไปเหมือนเดิม ตามที่หัวใจปรารถนาอย่างที่ทำอยู่แล้วตอนนี้เลยครับว่าจะจบแต่ไม่จบ เรื่องพื้นๆที่เราได้ยินหรือเห็นกันจนคิดว่าเป็นเรื่องปรกติ(จริงเหรอ?)นั่นคือ การที่จขรย. ทั้งที่ใช่และไม่ใช่เภสัช เรียกเภสัชที่จะไปทำงานด้วย หรือทำงานด้วยอยู่แล้วว่า"น้อง" ด้วยคิดว่า สนิทกัน เป็นกันเอง หรือความเคยปากไม่เกี่ยวกะสนิทหรือไม่สนิท ก้อเลยอยากถามว่า ถ้า สมมติเรามีพื้นที่อีกห้องเปิดเป็นคลีนิค มีหมอที่อายุน้อยกว่า มาเป็นคนทำงานให้ เราจะเรียกหมอคนนั้นว่า"น้อง" ไหม จากปสก.จริงมีพี่เภสัชคนหนึ่ง แกเปิดร้าน และมีคลีนิคจ้างหมอมาทำ แกเรียก"คุณหมอ"ไม่มีสรรพนามอื่นที่แสดงความสนิทกันแม้จะทำงานด้วยกันมาหลายปี สังคมทั่วไปก้อไม่ค่อยได้ยินเป็นการทั่วไปว่าใครเรียกหมอในขณะทำงานว่าน้อง หรือพี่ โดยไม่มีคำว่าหมอ แม้แต่ในสังคมหมอ พวกหมอด้วยกันเรียกหมอรุ่นน้องหรือรุ่นพี่ก้อมีคำว่าหมออยู่หน้าชื่อ(แม่ผมไปเยี่ยมญาติที่เป็นหมอ หมอรุ่นพี่เรียกญาติผมที่เป็นรุ่นน้องว่า หมอตามด้วยชื่อญาติ) และถ้าเราไปที่ห้องจ่ายยาในโรงพยาบาลเราจะเรียกเภสัชในห้องจ่ายยาด้วยความเคยปากว่า"น้อง"ไหม
บางคนแย้งว่า เราไม่ใช่หมอ ผิดครับเราคือหมอยา แต่ทางการเรียกเภสัชกร แล้วไงถ้าจะเรียก"น้อง"แล้วมันเสียหายตรงไหนยังไง เอางี้ ถ้าเราเรียกหมอ เรียกตำรวจ เรียกอัยการ หรือผู้ชำนาญการว่า"น้อง"ตัวคนเรียกหรือสึกอย่างไรกะคนเหล่านี้ ความเชื่อถือ ความเกรงใจ การปฏิบัติต่อกัน จะเป็นแบบเหมือนที่เราเรียกเขาว่า คุณหมอ ท่านอัยการ คุณตำรวจไหม ถามใจตัวเองดูโดยคำนึงถึงชีวิตจริง
ถ้างั้นเภสัชก้อโคตรอีโก้เลย หาเป็นเช่นนั้นไม่ อย่างที่บอกไปแล้ว การเรียกมันบ่งบอกถึง เครดิตทางสังคม การยอมรับนับถือ และการปฏิบัติต่อกัน ถ้าเราปฏิบัติต่อนายA.เพราะคิดว่านายA.เป็นแค่น้อง กะแบบที่นายA เป็นผู้ชำนาญการ ย่อมไม่เหมือนกัน (ถ้าเราคิดได้และคิดเป็น) เช่นกัน ถ้าปฏิบัติต่อเภสัชเพราะคิดว่าเป็น"น้อง"เภสัชก้อจะไม่ต่างจากพนักงานคนอื่นในร้านมากนักคือเป็นพนักงานขายคนหนึ่ง ถ้าจะแย้งว่า เราไม่ได้คิดเช่นนั้น นั่นคือปากบอก ไม่ใช่การกระทำที่เป็นตัวบอก แต่ถ้าเราเรียกเภสัช ด้วยมาจากใจและความคิด การกระทำ มันจะเป็นอีกแบบ การยอมรับนับถือและเครดิตมันจะไม่เป็นอย่างที่มันเป็นในปัจจุบัน แล้วถ้าจะบอกว่าเภสัช อีโก้ แต่เรียกหมอว่าหมอไม่กล่าวหาว่าหมออีโก้ เรียกหมอเรียกด้วยใจ อย่างนี้ก้อต้องถือว่า2มาตรฐาน บางคนอาจคิดว่าการให้จขรย.เปลี่ยนสรรพนามการเรียกเราจากคำว่า"น้อง"เป็น "เภสัช หรือหมอ(ยา) น่าจะเป็นเรื่องยาก ขอบอกว่ามันเป็นสิทธิ์ที่จะให้เขาเรียกเราตามจริง เหมือนที่เขาเรียกแพทย์ว่า หมอ เราต้องบอกเขาเพราะมันเป็นสถานภาพจริงๆของเรา"ใช่ไหม หมอยาเปิ้ล หมอยาแอน แล้วหมอยาเวิร์ค ช่วงปิดเทอมคนไข้มาซื้อยาที่ร้านยังเยอะเหมือนเดิมไหม ได้ข่าวว่ารถฟฟ.สายสีทองจะเปิดแล้วใช่ปะ(คนแก่หลายคนยังเอ่ยปากขอให้คนอื่นเรียกแกว่าพี่ ทั้งที่แกเป็นลุงเป็นป้าแล้ว ไม่ตรงตามจริง แต่ของเราสถานะตรงตามจริงทุกอย่าง)บางร้านค่าจ้างอาจจะดี เช่นชั่วโมงละ200 แต่ถ้าเจ้าของร้านอัธยาศรัยและการใส่ใจน้อยหรือไม่ใส่ใจในการที่จะพูดจาติดต่อกับคนที่เขามาติดต่อด้วย เพราะคำนึงแต่เรื่องหรือธุระของตัวเอง จะใช้สีข้างเข้าถูว่ายุคนี้มีไลน์แล้วไปคุยต่อในไลน์เพื่อให้ดูชอบธรรม เพื่อให้จบการสนทนาไป กรูจะได้ไปทำเรื่องของกรู ทำไปเถอะครับถ้าไม่ยุ่งกะใครเลย มีโลกของตัวเองก้อตามสะดวก แต่ถ้าไม่ใช่ คำว่า"ใจเขาใจเรา"ถ้านึกถึงคำนี้ จะทำให้เราเป็นคนที่น่าติดต่อด้วย ถ้าคิดว่าตัวเองไม่เคยเป็นฝ่ายต้องไปหาหรือติดต่อใคร ก้อใช้สันดานเดิมๆไป อ้อ!!ระวังปากจะเท่ารูเข็มนะ เพราะไม่ค่อยพูด นิ้วมือจะเท่าใบตาลเพราะจิ้มกะเขี่ยบ่อยๆ วันนี้จะมาเล่าถึงบริษัทยา แห่งหนึ่ง สมัยแรกๆ ประมาณ5-6ปีก่อนเริ่มจากร้านยา เจ้าของเป็นผู้ชายชาวจีนที่ไม่ใช่ลูกจีนเกิดในไทย แต่พูดไทยพอได้คล้ายพม่าพูดไทยคือกัน เคยได้คุยกันเพราะตอนนั้นแกหาเภสัชเต็มเวลา จากนั้นมาถึงพ.ศนี้ ร้านแกยังมีเหมือนเดิม แต่มีบริษัทของแกดูแลร้านยาที่เปิดอีกหลายสาขา ส่วนมากอยู่แถวสุทธิสาร ส่วนบริษัทแกเช่าห้องอยู่ในอาคาร...อาคารนี้อยู่ใกล้โรงเรียนดังอยู่ฝั่งเดียวกัน ฝั่งตรงข้ามเคยเป็นร้านหมอนวดดังที่ชูวิทย์เคยแฉ แถวรัชดา(ร้านหมอนวดอยู่ฝั่งเดียวกับและใกล้โรงแรมที่พวกเราชอบไปประชุมวิชาการ )คนดูแลและสั่งการเป็นหญิงไม่เคยเห็นหน้าแต่ฟังจากเพื่อนผมที่ไปติดต่อ เพื่อนว่าเสียงที่พูดก้อเป็นแบบสาวมั่นอ๊อฟฟิศทั่วไปสไตล์นิยมผมเรียกสาวมั่น1{เภสัชสาวและที่ไม่ใช่เภสัชเดี๋ยวนี้ ไม่สิ เมื่อก่อนก้อมี แต่อาจจะไม่เป็นที่ทั่วไปเท่าปัจจุบัน เพราะปรกติสาวๆอ๊อฟฟิตทั่วไปก้อไม่ได้ชูคอ โชวพราวด์ วางคาแรคเตอร์แบบยืนหนึ่ง แต่ก้อมีบ้างเช่นอ๊อฟฟิศริมถนนสีลมตรงข้ามบีทีเอสศาลาแดงด้านล่างเป็นร้านสะดวกซื้อตอนนี้เปลี่ยนไปละยังไม่รู้แต่ข้างบนเป็นอ๊อฟฟิศ นี่สาวโครตมั่นทั้งน้ำเสียง การเดิน สีหน้าสงบเรียบเฉย และไม่สนใจความคิดเห็นที่เป็นคำแนะนำเกี่ยวกะธรรมชาติของพวกเภสัชที่ผมบอกไปด้วยความคิดของผมที่ว่า"win win"ไปด้วยกันคือบริษัทกะพวกเภสัชที่จะไปทำงานที่นั่น แล้วผมไปตรงนั้นทำไมก้อไปหาอะไรทำไง แล้วได้ทำไหม NO!สนิท อาจจะด้วยว่า มึงเป็นใครวะมาบังอาจมาชี้นำกรู ที่เป็นเจ้าถิ่นมีอำนาจหน้าที่ณ ที่แห่งนี้ อีกที่คล้ายๆกัน แต่สาวมั่นไม่เท่าศาลาแดง อยู่แถวสาธร เป็นเภสัชสาวรุ่นน้อง ทำงานบริษัทญี่ปุ่น เวลาทำงานแกคงไม่มีคำว่ารุ่นพี่รุ่นน้อง รุ่นพี่มึงคนนอกมาสมัครงานในเวลางานก้อคือเป็นคนอื่น ไม่ใช่รุ่นพี่ อาจจะเป็นทัศนคติในใจนางแบบนี้ก้อได้ ในยุค4Gสาวอ๊อฟฟิศนิยมทำเสียงและคาแรคเตอร์แบบสาวมั่น(เป็นนิสัยหรือสร้างภาพไม่รู้ )แต่สาวมั่นกะฝีมือทำงานและผลงานคนละเรื่องกันไม่เกี่ยวกันแน่ พวกนางอาจติดภาพมาจากเซเลบในโซเชี่ยลหรือดูละครมากไป???ไม่แคร์ใคร ไม่ฟังใครมากนัก ไม่คุยมาก เสียเวลาส่วนตัว ไลน์มา จบนะ}เข้าใจว่าสาวมั่น1คนนี้น่าจะรับคำสั่งมาจากชายชาวจีนคนนี้อีกที สาวมั่น1รายนี้อาจจะนั่งทำงานที่ใดที่หนึ่งในตึกนี้ สั่งการทาง"โทสับ"จะติดต่องานผ่านสาวมั่นประจำอ๊อฟฟิศอีกคนหนึ่งผมขอเรียกสาวมั่น2คนนี้เป็นคนพูดคุยกะเพื่อนผมไม่เชิงสัมภาษณ์ แล้วรายงานผ่านโทสับ ไปยังสาวมั่น1 ในอ๊อฟฟิศ มีคนทำงานไม่น่าจะเกิน5 ไม่มีโชว์สินค้าอะไรรวมทั้ง"ยา"แปลกจากอ๊อฟฟิศอื่น ถ้าเป็นบริษัทที่มีร้านยาก้อมักจะมีสต๊อกยาหรือไม่ก้อมีสินค้ายาที่ตัวเองผลักดัน มาโชว์ บรรยากาศนอกอ๊อฟฟิศ เงียบกริ๊บ ป้ายชื่อบริษัทหน้าห้องไม่มี ตอนที่เพื่อนไปติดต่อ สาวมั่น1 โทรบอกสาวมั่น2 ให้ออกมารับ พาเข้าไป อืม!?? เพื่อนผมคนนี้แนะนำนิดนึง เก่งมากได้เกียรตินิยม ไม่ใช่เก่งเฉพาะวิชาการ การปฏิบัติการหน้าร้านใช้ได้ดีทีเดียว รุ่นพี่ที่ไปฝึกงานยังบอกน้องคนนี้ต้องเปิดร้าน เพื่อนผมปัจจุบันผมขอใช้คำว่า ชอบทำฟรีแลนซ์ จึงไปรับจ๊อบ ตามข้อเสนอของบริษัทไม่ได้ต่อรอง แต่บริษัทนี้โดยการพิจารณาของสาวมั่น1(เรื่องแค่รับเภสัชทำงานชายชาวจีนคงไม่ต้องลงมาดูเองมั้ง)เขาไม่รับเข้าทำงาน
ผมมาโวยแทนเพื่อนเหรอ หาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะเภสัชเก่งบริบาลและปฏิการหน้าร้าน รวมทั้งมากปสก.จะทำยอดก้อได้แต่ต้องไม่ผิดวิชาการมากนัก ไม่ต้องหางานนาน แต่กำลังจะบอกว่า
1.บริษัทไม่เอาคนทำงานเป็นและมีฝีมือแสดงว่ามีเป้าหมายในการเปิดร้านที่อาจจะไม่เหมือนร้านยาทั่วๆไป
2.ย่านนั้นมีลูกทัวร์จีนเยอะอยู่ ร้าน-ลูกทัวร์จีน-สินค้าบางอย่าง??? ที่ไม่จำเป็นต้องมีเภสัชที่มีฝีมือ(เภสัชไว้แค่ประดับร้าน)เมื่อ2-3วันก่อนได้ไปเยี่ยมผู้ป่วยที่เป็นญาติสนิทท่านหนึ่ง ที่รพ.โรงเรียนแพทย์ ได้ข้อสังเกตเรื่องหนึ่งว่า พยาบาลที่ขึ้นและหรือไม่ขึ้นเวร ช่วงเวลาที่ยังไม่ต้องไปดูคนป่วยแต่ละคนหรือบางคนจะจับกลุ่มติวหรืออภิปรายความรู้หรือนั่งอ่านวิชาการ แต่ไม่ได้ส่งเสียงดัง พวกหมอกะพยาบาลมีข้อได้เปรียบตรงที่ว่าได้เห็นได้เรียนรู้จากการทำงานจริงตรงนี้สำคัญมาก ทำให้ได้ใช้ความรู้หรือจดจำความรู้ได้แม่นยำจากการทำงานจริงๆและถ้าบางคนช่างสังเกต ก้ออาจจะได้ความรู้เพิ่มเติมที่ไม่มีในตำรา แต่เป็นเรื่องเฉพาะตัวของผู้สังเกตเท่านั้น ก้อเลยมาคิดว่า ทุกที่ทำงานที่เป็นงานเภสัช ถ้าโอเพ่น ให้เภสัชที่จบไปทำงานแล้วในทุกสาขา ได้มีโอกาสมาทำมาสัมผัสงานมาทบทวนงานในที่ที่เปิดให้เข้าไปทำคล้ายฝึกงาน ก้อน่าจะเป็นการดีมาก ทำให้เภสัชได้เพิ่มความสามารถและประสบการณ์ที่หลากหลาย เภสัชที่สนใจไปทำ จะแก่จะหนุ่มสาว จะชายจะหญิง ได้ทั้งนั้น ไม่ติดขัดกฏระเบียบหรือเคลียกฏระเบียบให้เปิดทางให้บุคคลภายนอกในแวดวงเภสัชเข้ามาดูมาทำได้ ถ้าเป็นแบบนี้จะเป็นเรื่องที่ดีมาก ได้ประโยชน์ทุกฝ่าย ตัวเภสัชที่เข้าไปได้Skills. Experience. Performance.Relationshipและอื่นๆ ตัวสถานที่ก้ออาจจะได้คนทำงานเป็นที่เข้ากันได้กะงาน โดยไม่ต้องไปหาที่ไหนเพราะมีการติดต่อกันไว้ช่วงที่มาดูมาทำนั่นแหละ
นี่เป็นข้อเสนอ บางที่อาจโอเพ่นให้เภสัชมาดูมาทำประจำอยู่แล้ว แต่อยากให้หลากหลายสถานที่มีการโอเพ่นแบบนี้และบอกกันให้รู้ในที่สาธารณะมากกว่านี้ ถ้าเป็นไปได้ เภสัชไทยในยุค5Gจะ"Super strong" ทั้งบู๊ทั้งบุ๋น น่าทึ่งมาก ชาวบ้านได้ประโยชน์ สายการแพทย์อื่นๆที่ได้เห็นเขาคงรู้เองว่าจะยอมรับในความสามารถของเภสัชเพิ่มขึ้นหรือไม่ ก้อฝากหน่วยงานที่มีงานเภสัชลองพิจารณาครับ "3win" winหน่วยงาน มีคนช่วยงานและอาจได้บุคคลากรเพิ่ม winตัวเภสัชที่ไป winวิชาชีพเพราะมีแต่บุคคลากรเก่งๆปฏิบัติ อันนี้ของจริงครับ อย่าไปสนใจหน่วยกิตอันนั้นมันทฤษฎีที่กฎหมายบังคับไม่ได้มาจากใจ เพราะการที่เราไปฝึกไปเรียนรู้เพิ่ม เพราะเราสนใจ มันมาจากใจครับ กฏหมายที่แท้จริง" ต้องมาจากใจ มาจากความต้องการของชาวบ้าน"ไม่ใช่มาจากคนมีอำนาจคิดเองเออเอง กดหัว ปิดปาก ชี้ซ้ายชี้ขวาชี้นำ สร้างข่าว สร้างคติพจน์ เพื่อให้ได้ตามที่คนมีอำนาจต้องการ แล้วมักอ้างความมั่นคง อ้างสถาบัน อ้างหมิ่นประมาท อ้างผิดพรบ.คอมฯจะ5g 10g มันก้อวนเวียนอยู่อย่างนี้
คนมีอำนาจใช้ดุลย์พินิจยังไงก้อได้แล้วสั่งการหรือตัดสิน อ้างกฏหมายอย่างโน้นอย่างนี้ เขาเรียกคิดจากคำตอบ ครับ ส่วนพวกที่อ้างว่าคิดจากหลักฐาน ก้อหามารตฐานไม่ได้ หลักฐานเดียวกัน คนมีอำนาจแบบเดียวกัน ก้อคิดไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนความเป็นธรรมชาติ ตะวันขึ้นทางตะวันออกเสมอ ฝนตกต้องเปียก โดนไฟโดนแดดต้องร้อน ลมพัดต้องสั่นไหวฯลฯแม้จะเป็นน้องจบสถาบันเดียวกัน(แต่ห่างกันหลายสิบรุ่น) ถึงจะได้ตำแหน่งนางงามระดับโลก มีสื่อต่างๆกล่าวถึงเธอเยอะแยะมากมายทุกแง่มุม แต่เธอยังไม่เคยมีผลงานในวิชาชีพเภสัชกรรมให้โลกประจักษ์ หรือยังไม่มีผลงานที่เป็นการยกระดับวิชาชีพ เราก็จะยังไม่กล่าวถึงเธอ แต่...ใครก็ตามที่ผลักดันให้เภสัชกร(นอกจากความสามารถและคุณสมบัติประจำตัวของเภสัชกร) สามารถก้าวขึ้นสู่"ตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงสุด" ในทุกหน่วยงานราชการที่มีเภสัชทำงานอยู่ เช่นก้าวขึ้นเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล ตำแหน่งสูงสุดในสสจ. อธิบดี ปลัดกระทรวง ผมจะเขียนถึงและลงรูปท่านผู้นั้นอย่างน้อย1เดือน จะไปมอบกระเช้า และคำขอบคุณอย่างสุดซึ้งให้ท่านผู้นั้นด้วยตนเอง จะเอาใบประกาศเกียรติตุณ พิมพ์ตัวโตๆ ติดกระจกรถด้านท้าย และเชิญชวนเภสัชทุกคน ช่วยกันติดใบประกาศเกียรติคุณท่านผู้นี้ในทุกที่ทำงาน ที่บ้าน ที่กระจกด้านหลังรถยนต์ หวังว่าจะมีบุุคคลคนนี้เข้ามาเพื่อชาววิชาชีพเภสัชกรรมในไม่ช้า ไม่ต้องรอไปร้อยชาติก้อไม่เจอถ้าที่นี่คือประเทศไทย!!!?
มีโอกาสได้ไปเจอเภสัชร้านยา3ท่าน อายุเกินหลัก4ไปแล้ว2, อีกท่านอายุหลัก5กว่าท่านนี้เคยเจอตอนที่ผมไปร้านยาร้านหนึ่ง แต่ไม่ได้คุยไรกันมาก แกเล่าให้ฟังว่าตอนนั้นแกจะไปสมัครทำงานร้านนั้น แต่ไม่ได้ทำตอนนี้ทำร้านอื่น ทั้ง3ท่านนี้ผมได้คุยจึงทราบว่าเหมือนกันตรงที่ ไปสมัครงานร้านแรกๆมักไม่ได้ มาได้งานร้านหลังๆ ทำให้ผมได้ข้อสรุปดังนี้ว่า
ทั้ง3ท่านทำงานหน้าร้านด้านบริบาลเภสัชกรรม และการนำเสนอต่างๆถือว่าโอเคทีเดียว(ผมเก็บข้อมูลก่อนเข้าไปคุย) ชี้ให้เห็นว่ามันมีเหตุผลอื่นที่ยิ่งใหญ่มากกว่า การทำงานบริบาลเภสัชได้ดี นั่นคือ ความคิด ความชอบ ทัศนคติ แนวทางการทำงาน อีโก้ของจขรย.และฝ่ายHR.การคิดไปเองของเจ้าของร้าน และHR.มากกว่าประโยชน์ที่ชาวบ้านจะได้รับ เพราะเจ้าของร้านคือเจ้าของเงินและเจ้าของงาน แต่ชาวบ้านคือคนที่ทำให้เจ้าของร้านมีวันนี้และได้เป็นทั้งเจ้าของเงินและเจ้าของงาน แต่เจ้าของร้านและพวกHR.ต้องได้ประโยชน์คือความพึงพอใจก่อน ชาวบ้านจึงจะได้ประโยชน์ตอนหลัง ตกลงใครใหญ่หรือมีพระคุณหรืออำนาจมากกว่ากัน ถามว่าแปลกไหม ไม่แปลก แล้วมันใช่ไหม ล่ะ ที่เป็นอย่างนั้น จขรย.ตอบว่าใช่สิ ถูกต้องมากด้วย ถ้าเป็นอย่างนั้นไม่ซื้อเองขายเองกันในครอบครัวหรือกลุ่มหรือพวกของจขรย.หรือฝ่ายบุคคลของพวกบริษัท ล่ะ ถ้ายึดความต้องการของตัวเองมากกว่าประโยชน์ของชาวบ้าน บางคนสงสัยแล้วรู้ได้ไงว่าชาวบ้านจะได้ประโยชน์ ไม่ยากเลย ให้เภสัชได้แสดงฝีมือทำงานสักช่วงเวลาสั้นๆช่วงหนึ่งก้อรู้แล้ว แต่จขรย.และฝ่ายบุคคลก้อไม่เปิดโอกาส ยังคงเอาตัวเองเป็นที่ตั้งเหมือนเช่นทุกวันนี้??!!
โอ้โฮ!!!งานนี้ ไม่อวยไม่ได้เลย. ก้อเพื่อนร่วมวิชาชีพ ที่ทำผลงานได้แตกต่างจากคนอื่นในแวดวงเดียวกัน แต่ยังมีความเป็นวิชาชีพเภสัชกรรมที่ทั้งแฝงและปรากฏชัดเจนต่อสาธารณะให้เป็นที่เอ่ยปากเล่าขานในสังคมได้อย่างเต็มภาคภูมิถึงผลงานและการกระทำที่มีคุณค่าต่อชาวบ้านทั้งที่ไปที่ร้านของเธอและที่ชมอยู่หน้าจอทีวีที่บ้านแถมยังพกพาความงามและความน่ารัก ดีต่อสุขภาพใจเหลือเกิน การันตีด้วยการเคยเข้าร่วมประกวดในเวทีความงามมาแล้วด้วย ผลงานของเภสัชกรหญิงท่านนี้ ยังได้แสดงถึงการใช้อุปกรณ์การผลิตที่นำสมัยแบบที่โรงงานไฮเทคใช้กัน และจะเป็นใครไปไม่ได้เลย ต้องหมอยาคนนี้เท่านั้น " เภสัชกรหญิงจิตราวดี เหมมณฑารพ"จากร้าน"ต้นกล้า ฟ้าใส"https://www.youtube.com/watch?v=s2cmE8zdrqE&t=219shttps://www.youtube.com/watch?v=XxSc1CVtEP8