หน้า 1 จากทั้งหมด 1

บทความชวนคิด จากอดีตเด็กติดยา

โพสต์โพสต์แล้ว: 01 มิ.ย. 2011, 15:52
โดย apotheker
เป็นบทความจากเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่มีพ่อแม่เป็นหมอ เขียนเล่าประสพการณ์ให้ฟัง

สภาวะเสพติด และการเกิดใหม่ (ตอนที่ ๑)

วันนี้อยู่ว่างๆ ไม่ได้มีนัดคุย มันเลยเหมือนไม่มีประเด็นอะไรผุดขึ้นมาให้นำมาเขียนต่อ ก็ลองคิดทบทวนเมื่อวานดูว่าเราคุยอะไรกันบ้าง รู้สึกช่วงแรกๆเหมือนเราจะคุยกันเรื่องสไตล์การเขียน จำได้ที่ผมพูดว่า ?สำหรับผมเอง ตอนเขียนเรื่องตัวเอง มันรู้สึกลื่นไหล ผิดกับการเขียนอะไรที่มันเป็นความคิดมากๆ แยกเป็นประเด็นๆ ไม่รู้เพราะเวลาเขียนเรื่องตัวเองมันลงไป NCR รึเปล่า? แต่อีกด้านการเขียนเรื่องตัวเองมันก็มีคุณวิจารณ์นะ อาจจะเป็นขอบของเราด้วย มันว่าเราว่า ถ้าเราเขียนแต่เรื่องตัวเอง มันก็เป็น Ego trip นะสิ เลยสงสัยอยู่ว่าเราควรให้น้ำหนักเสียงไหน? อย่าไรดี?? รู้สึกลุงจะตอบกลับมาประมาณว่า ?มันเร็วไปที่จะไปกลัวมีอัตตา รอให้มันมีก่อนเถอะ ไม่ต้องกลัว อยู่แถวนี้ ลุงทุบให้เอง 555? ประโยคนี้รู้สึกมันน่ากลัวอย่างไรไม่รู้ แต่มันก็คงจริงกระมัง ถ้าเรามัวกลัวโน่นนี่ มันก็คงไม่ได้เรียน วันนี้เลยอยากลองบ้ายุเขียนเรื่องตัวเองดูดีกว่า
อยากจะเล่าเรื่องตัวเองในแง่จากการเสพติด สู่การผ่านเปลี่ยน 2 ช่วง ช่วงแรกก็คงเป็นช่วงก่อนจะมาเชียงราย ตอนนั้นผมติดยาหนักมากๆ มา 3 ปี ที่ตอนนั้นเสพอยู่คือยาไอซ์ ก็คงไม่ได้อยู่ดีๆมาติดยาเลย มันคงเริ่มมาจากการเบื่อโรงเรียน ติดเพื่อน ชอบความท้าทายตามประสาเด็กวัยรุ่น ก็โรงเรียนมันไม่ท้าทายนี่ เราก็ต้องไปโลดโผนข้างนอก ก็ไปกินเหล้าทุกวัน กินจนติด กลายเป็นความเคยชิน และอย่างว่า พอมันเริ่มติดแล้ว มันก็จะหาอะไรที่มันแรงขึ้นเรื่อยๆ พอเหล้ามันไม่ท้าทายพอแล้ว มีโอกาสได้ลองยาเสพติด มันก็ไปเลยทันที จำได้ที่ลองครั้งแรกเป็นยาอี ผมไปกับเพื่อนอีก 3 คน ก็พากันไปหารุ่นพี่ที่เพื่อนเราคนหนึ่งรู้จัก สถานที่เป็นโรงแรมเก่าๆ ไม่ค่อยมีคน พอเข้าไปในห้องก็เจอคนแปลกหน้าอีก 3 คนอายุประมาณ 28-30 ปีท่าทางน่ากลัว กำลังเสพยาบ้าอยู่ ผมก็คิดในใจ ?นี่มันเหมือนในข่าวเลย สถานที่อโคจรชัดๆ? ตอนนั้นก็รู้สึกเรามันไม่ประสีประสาเลย มาทำอะไรที่นี่นี่ ก็คงกลัวด้วยกระมัง แต่ไหนๆมาแล้ว จะกลับยังไง ลองดูไปก่อน พอรอซักพักคนที่ออกไปเอายา ก็กลับมาถึง จากนั้นงานก็เริ่ม ตอนเสพยาชนิดนี้ จะเสพกันมืดๆ เปิดเพลงดังๆ คนที่พอเสพไปแล้ว มันก็ไม่ค่อยจะรู้ตัว กึ่งหลับกึ่งตื่น แต่ที่รู้คือมันสนุก มันสนิทกันได้หมด ลองคิดดูขนาดคนที่เราไม่รู้จัก ทั้งยังท่าทางน่ากลัวขนาดนั้น เราที่เป็นเด็กกลับสามารถไปกอดคอเขา ไปเล่นกับเขาได้อย่างไม่ขัดเขิน ตัวยับยั้งมันคงถูกกดไว้แรงกว่าเหล้าซะอีก เราก็อยู่กันไปเรื่อยๆ พอเริ่มสว่าง เราก็ขอตัวกลับ เดินทางกันมาที่บ้านของเพื่อนคนหนึ่ง เพื่อเตรียมตัวจะแยกย้ายกันกลับบ้าน ปรากฏเพื่อนผมคนหนึ่ง ไม่รู้ดันไปเอายาไอซ์มาจากไหนอีก ตอนนั้นเราก็เหนื่อยกันมาก เนื่องจากยาเพิ่งหมดฤทธิ์ เพื่อนคนนั้นบอกว่าอันนี้ช่วยได้ เราก็ลองกัน เพียงแค่เสพกันคนละทีเดียว เราไม่กลับบ้านกันเลย ได้แต่นั่งคุยกันไปเรื่อยๆอยู่ที่ใต้ถุนตึกร้างแถวๆนั้น โดยไม่รู้เลยว่าเวลาล่วงเลยมานานเท่าไร จนเริ่มตกเย็นเพื่อนคนหนึ่งเริ่มมีอาการแปลกๆ คือเงียบไปเลย ชวนคุยก็ไม่คุยด้วย พูดแต่ ?จะกลับบ้านๆ เดี๋ยวซวย? ตอนนั้นพวกเราก็ยังไม่เอะใจ เลยตกลงแยกย้ายกันกลับบ้าน วันนั้นก็จบลง เป็นครั้งแรกที่เราเริ่มเข้าสู่วังวนยาเสพติด

ต่อมาหลังจากได้ลองครั้งแรกแล้ว ในกลุ่มเราก็คุยกันว่า ?เรายังไม่รู้จักมันดีเลย ไหนๆลองแล้ว ก็เอาให้รู้ไปเลยดีกว่า? นี่ก็คงเป็นข้ออ้างกลับไปเสพอีกนั่นแหละ เราก็เลยชวนกันไปหารุ่นพี่คนเดิม คราวนี้ไม่เอายาอีแล้ว เอายาไอซ์เลยแล้วกัน ความจริงในกลุ่มคนเสพที่ผมรู้จัก เขาเรียกยาอีว่า ?ขนม? ส่วนยาไอซ์เรียก ?เสก็ต? ก็คงเป็นรหัสเอาไว้เรียกในกลุ่มคนเสพละกระมัง? พี่คนนั้นก็รับปากว่าจะหาให้ แต่มีข้อแม้ว่าพี่เขาขอเล่นด้วย เราก็ยินยอมตามนั้น ก็คราวที่แล้วสนิทกันขนาดนั้น แถมพี่เขายังเป็นธุระหามาให้ มีเหตุผลอะไรไม่ยอมให้พี่เขาเล่นด้วย พอมาคราวนี้เราได้เสพกันเต็มๆ คือเอามา 2 กรัมแบ่งกัน 4 คน ตอนเสพยาชนิดนี้อาการมันก็เหมือนที่เล่าไปครั้งแรก คือนั่งคุยกันอย่างเดียว คุยกันทุกเรื่อง คุยได้เป็นวันๆ เผลอๆหลายวันด้วยซ้ำ บางคนที่ไม่คุยก็หาอะไรทำ ดัดแปลงอุปกรณ์เสพบ้าง นั่งเล่นโทรศัพท์บ้าง คือเวลาเสพแล้ว มันทำอะไรอยู่มันหลุดไปเลย มันจะดิ่งลงไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีก็ตอนยาหมดฤทธิ์นั่นแหละ ทรมานมาก พวกที่คุยก็คุยกันจนล้า เพราะไม่ได้กิน ไม่ได้นอน จะกินจะนอนก็ทำไม่ได้ ต้องทนยู่กับอาการนี้ไปอีกเป็นวัน ส่วนพวกที่ไม่ได้คุยกับใคร ไม่ได้ connect กับใครเลย ยิ่งแย่กว่า คือมีอาการหวาดระแวง กลัวเพื่อนนินทา เนื่องจากไม่ได้ฟังที่คุยกันตลอด จะได้ยินเป็นพักๆ จึงคิดเอาหน้าไปรับทุกเรื่อง คิดว่าเพื่อนว่ากระทบตัวเอง แล้วอาการนี้ไม่ใช่แค่รอยาหมดฤทธิ์แล้วมันจะกลับเป็นปกติ มีหลายคนที่ผมเจอ พอเป็นอย่างนี้ครั้งหนึ่ง เราก็เหมือนเสียเพื่อนคนนั้นไปเลย มันเสียหายอย่างถาวร อธิบายอย่างไร มันเหมือนฝังใจเขาไปแล้ว ว่าเป็นอย่างที่เขาคิดแน่ๆ เขาแยกไม่ออกแล้วว่าอะไรจริง อะไรเขาคิดไปเอง พอมามองตอนนี้มันเหมือนที่ลุงเคยบอกไว้ว่า ?ตอนเสพยา เราดึงพลังจากอนาคตมาใช้ พอยาหมดฤทธิ์มันก็ต้องจ่ายค่าตอบแทน? ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ มันเลยต้องแก้ปัญหาด้วยการหามาเสพต่อเรื่อยๆ จำได้ผมเคยเสพติดกันถึง 14 วัน ไม่ได้กิน ไม่ได้นอน ช่วงนั้นน้ำหนักลดลง 20 กิโล เร็วมากๆ โทรมมากๆด้วย มันเสพจนร่างกายไม่ไหวแล้ว รู้สึกว่าต้องกินแล้ว พอได้กิน มันก็หลับไปเอง พอตื่นขึ้นมาก็ไปหาเสพใหม่ เป็นอย่างนี้มาตลอด จนเข้ามหาวิทยาลัย ผมสอบติดได้เข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ได้ห่างจากยาเลย พอมากรุงเทพ มาอยู่สังคมใหม่ มาคนเดียวด้วย ก็ต้องหาทางใหม่ที่จะเอายามา เลยไปปรึกษาพี่คนเดิม เผอิญพี่เขาก็มีเพื่อนอยู่กรุงเทพที่พอหาได้ เลยแนะนำไปให้ จำได้ตอนนั้นผมเข้าไปหาเขาคนเดียวเลย เป็นปกติคงไม่กล้า พอไปถึงก็แปลกใจ เพราะคราวนี้เป็นบ้าน อยู่ใจกลางกรุงเทพเลย ดูไม่น่าจะมีเรื่องแบบนี้ พอเข้าไปในบ้านก็ได้เจอรุ่นพี่สองคนเป็นแฟนกัน ท่าทางเป็นกันเอง ต้อนรับอย่างดี ไม่นานคุยๆกันไป เราก็สนิทกัน ได้รู้ว่าพี่สองคนเขาทำงานแล้ว และนี่เป็นบ้านครอบครัวของพี่ผู้ชาย ผมก็ผูกติดอยู่กับพี่สองคนนี้มาตลอด พี่เขาก็ดูแลผมเหมือนน้อง นานๆทีพี่คนที่แนะนำผมให้รู้จักก็มาเยี่ยมบ้าง เป็นอย่างนี้อยู่สองปี พอมารู้ตัวอีกที เราก็เสพมันเกือบทุกวัน ไปที่บ้านพี่เขาเกือบทุกวัน เรียกว่าเหมือนเป็นครอบครัวใหม่เลยก็ว่าได้ เรื่องไปเรียนไม่ต้องพูดถึง มันไปไม่ไหวอยู่แล้ว ตอนที่ไม่ได้เสพ แค่จะลุกมากินข้าวยังลำบากเลย ไปทีเดียวก็ตอนสอบ ซึ่งมันก็ผ่านมาได้ วิชาไหนมันไม่ไหวจริงๆ คือถ้ามีการ check ชื่อก็ drop ไว้ ลงตัวที่ไม่มีไปก่อน ตอนนั้นยอมรับว่ามองไม่เห็นอนาคตเลย เงินทองที่ได้มาก็ด้วยการหลอกพ่อแม่ เอาเงินค่าเทอมมาบ้าง เอาของใช้ไปจำนำบ้าง มันตกต่ำอย่างไม่น่าเชื่อจริงๆ พ่อแม่ผมเขาก็เริ่มสงสัย โทรมาผมก็ขอแต่เงิน ตอนนั้นรู้สึกผิด แต่ไม่รู้ทำไม มันสู้กับอาการติดตรงนั้นไม่ไหวจริงๆ ก็ได้แต่เลยตามเลย ได้แต่ยอมรับว่าเราอ่อนแอ โดยก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ความสัมพันธ์กับพ่อแม่ก็แย่ลงทุกที แม่โทรมาก็ร้องไห้ตลอดจากที่เมื่อก่อนโทรมาน้ำเสียงแจ่มใส หัวเราะ คุยเล่นกัน ส่วนพ่อก็ทุกข์ไม่แพ้กัน คงทั้งจากความรู้สึกของตัวเอง ความเป็นหัวหน้าครอบครัว เห็นภาพลูกที่เป็นเด็กดีมาตลอด อีกทั้งความสงสัยไม่รู้จะเชื่ออะไรดี ผมว่าอันนี้คงทรมานที่สุดกระมัง เหมือนมันก็อาจจะไปเขย่าความมั่นใจของเขาลึกๆ โดยไม่รู้มันจะจบเมื่อไร หรืออย่างไร

จนมาปีสุดท้าย ตอนนั้นผมออกมาอยู่กับแฟนที่คอนโดกันสองคน ก็ยังไปมาหาสู่กับพวกพี่ๆอยู่ แต่คราวนี้เราสามารถหายากันเองได้แล้ว เริ่มเรียนรู้ระบบ รู้ทางหนีทีไล่ โทรตรงหาคนขายรายใหญ่ได้เลย แต่ชีวิตมันก็แย่เข้าไปอีก พูดได้ว่าเป็นจุดต่ำสุดของชีวิตที่ผ่านมาเลย ยิ่งของหาง่าย เราก็ยิ่งใช้มันมากขึ้น ชีวิตมีแต่ช่วงที่ใช้ยา กับช่วงที่หลับ แม้ตอนนั้นยาที่เสพมันก็ไม่ได้มีผลอะไรมากเหมือนช่วงแรกๆแล้ว แต่การที่ติด เราก็ขาดมันไม่ได้ กลายเป็นทาสมันเต็มตัว ความสัมพันธ์กับแฟน ด้วยอยู่กันแค่สองคนตลอดเวลา ไม่มีอะไรทำเป็นของตัวเองกันทั้งคู่ เวลาที่เสพก็คุยกันบ้าง แต่พอเวลายาหมดฤทธิ์ เป็นต้องทะเลาะกันทุกที เรื่องที่ทะเลาะ ถ้าฟังจากมุมผม ผมว่าแฟนผมคนนั้นเขามีอาการหวาดระแวงเหมือนที่เล่าไว้ข้างต้น พูดกันอย่างไร ความจริงของเราแต่ละคน มันเป็นคนละขั้ว ประนีประนอมไม่ไหวจริงๆ

มาวันหนึ่ง เมื่อเหตุการณ์มันอิ่มตัว ก็ถึงจุดแตกหัก แฟนผมหาว่าผมไปมีคนอื่น และเขารับไม่ได้ คุยกันอยู่นาน อธิบายอยู่ครึ่งค่อนวัน ก็หาข้อสรุปไม่ได้ เราเลยตกลงเลิกกัน หลังจากแฟนผมจากไปแล้ว ด้วยความเศร้าทั้งจากการกลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้ง ทั้งจากการใคร่ครวญชีวิตช่วงที่ผ่านมาแล้วพบว่ามันไม่มีอะไรเลย เราทำบาปไว้เยอะเหลือเกิน ตอนนั้นคิดถึงพ่อมาก เลยโทรไปหา แต่ก็ยังไม่กล้าเล่าให้เขาฟัง ได้แต่บอกว่าเลิกกับแฟนแล้ว พ่อก็บอกว่าตอนนี้อยู่กรุงเทพเดี๋ยวจะไปหา ให้ลงมารับด้วย พอพ่อมาถึง ผมก็ลงไปรับหน้าตึก พบพ่อหน้าตาหมองเศร้า ดวงตาเต็มไปด้วยความเครียด พูดกับผมว่า ?เดี๋ยวแม่จะตามมา เรารู้แล้วว่าลูกติดยา ตำรวจเขามาหาพ่อที่บ้าน ตอนนี้มีทางเลือกแค่จะไปกับพ่อที่เชียงราย หรือพ่อจะพาไปส่งตำรวจ? ความรู้สึกที่ฟัง ไม่ได้รู้สึกเสียใจ หรือกลัวแม้แต่น้อย กลับเป็นความรู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก คิดกับตัวเองว่า ?ในที่สุด เราก็จะออกจากมันได้เสียที? พอแม่มาถึง คืนนั้นเราก็ได้คุยกันอย่างหมดเปลือก กอดกันร้องไห้ เสียใจกับสิ่งที่ผ่านมา สัญญากันที่จะเริ่มใหม่

Re: บทความชวนคิด จากอดีตเด็กติดยา

โพสต์โพสต์แล้ว: 01 มิ.ย. 2011, 15:54
โดย apotheker
สภาวะเสพติด และการเกิดใหม่ (ตอนที่ ๒)

วันรุ่งขึ้น หลังจากเราพ่อ แม่ ลูก ได้เปิดอกคุยกันแล้ว แม่ก็แยกตัวกลับไป พร้อมกับอวยพรให้ผมโชคดีในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เชียงราย ส่วนพ่อพาผมนั่งรถมาที่เชียงรายทันที โดยไม่ได้บอกอะไร (มาเข้าใจตอนหลังว่าเขาก็คงไม่รู้จะอธิบายที่นี่อย่างไรเหมือนกัน) บอกแค่ว่าเป็นชุมชนที่มีอาจารย์ที่พ่อเคารพคนหนึ่งอาศัยอยู่กับเด็กๆ รับจัดอบรม และพ่อเคยไปเข้ามา ผมก็คิดแต่ว่าที่ชุมชนเชียงราย ก็คงเป็นเหมือนสถานบำบัดผู้ป่วยยาเสพติดเหมือนที่เราเคยเห็นกันในทีวีเป็นแน่ แต่ตอนนั้น ?มันมีเหลือแค่ทางเดียวแล้ว เป็นไงก็เป็นกัน เราต้องอยู่ให้ได้? ระหว่างทางผมหลับตลอด ไม่รู้ตัวเลย คงเป็นผลกระทบจากการเสพติดมาหลายปี พอตื่นขึ้นมาก็ถึงเชียงรายแล้ว ความรู้สึกเหมือนมาอยู่อีกโลกหนึ่ง วันนั้นฝนตกหนัก บรรยากาศอึมครึม เฉอะแฉะ ผมกับพ่อได้เข้าไปที่ห้องนั่งเล่น และนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอลุงใหญ่ พร้อมกับพี่ๆในชุมชนที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ในบรรยากาศที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน ลุงให้พวกพี่ๆเล่าให้ฟังคร่าวๆเกี่ยวกับชุมชน อยู่ที่นี่เราทำอะไรกันบ้าง? จะอยู่กันอย่างไร? ผมฟังไปก็ได้แต่คิดว่า ?มันดีกว่าที่คิดเยอะ จริงๆมันคนละเรื่องกันเลย ที่นี่เราอยู่ได้ และอยากอยู่ด้วย?

จากนั้นหลังจากผมตกลงจะอยู่ที่นี่ โดยลุงใหญ่มอบหมายให้ลุงชาญเป็นผู้ดูแลผมในช่วงแรก ผมก็ตัดสินใจว่าจะปรับตัวให้ได้อย่างรวดเร็ว จะอยู่ให้ง่ายที่สุด ซึ่งลุงชาญเองก็เป็นคนใจดีมากๆอยู่แล้ว (อาจจะใจดีมากเกินไปด้วยซ้ำ) แกช่วยดูแลทุกอย่าง เราก็ไปคุยกันที่ห้องนั่งเล่นทุกวัน ยิ่งได้ไปผมก็ยิ่งติดใจวง Dialogue ประทับใจลุงใหญ่ในความรอบรู้ และความสนิทสนมที่แกมีให้ ครั้งหนึ่งผมเคยบอกกับลุงว่า ?ผมว่าวงนี้มันมีความรู้สึกเหมือนวงคุยตอนผมเสพยาเลย? ลุงฟังก็หัวเราะชอบใจ (ผมเพิ่งมารู้ทีหลังถึงสาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมมันถึงให้ความรู้สึกเหมือนกัน) ผมรู้สึกดีทุกครั้งที่เราได้คุยกัน ได้ฟังกันจริงๆ ได้แบ่งปันมุมมอง และมีคนยอมรับ มันคงเป็นอะไรที่ผมถวิลหาตั้งแต่ก่อนที่จะเสพยาแล้ว ตอนนั้นก็แปลก มันไม่คิดถึงยาเลย ไม่ทรมานอย่างที่คิด ไม่นานผมก็เริ่มฟื้นตัว เริ่มไปวาดรูปในตอนบ่ายได้ เริ่มได้อ่านหนังสือที่ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้อ่านเลย แปลกดีอีกเหมือนกันที่หนังสือเล่มแรกที่ลุงให้อ่าน ชื่อเรื่อง Synchronicity ของ Joseph Jaworski อ่านแล้วพอกลับมาดูช่วงชีวิตที่ผ่านมา มันเหมือนทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มันเป็นเหตุ เพื่อให้ผมได้มาอยู่ที่นี่เลย เหมือนพอผมมาถึงจุดนี้ ทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้น มัน synchronize กันพอดี นี่ก็ไม่รู้ลุงจงใจให้อ่านรึเปล่า? แต่สำหรับผมคิดว่าเหตุการณ์นี้เป็นเหมือนปาฏิหาริย์แห่งการเกิดใหม่ของผมเลย

Re: บทความชวนคิด จากอดีตเด็กติดยา

โพสต์โพสต์แล้ว: 01 มิ.ย. 2011, 15:57
โดย apotheker
ภาวะเสพติด สู่การผ่านเปลี่ยนช่วงที่ 2

ข้อเขียนนี้ อยากจะลองเล่าแบบวิเคราะห์ไปด้วย ลองมองตัวเองใหม่ ให้ความหมายใหม่ๆกับมันดู คือ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อผมมาอยู่เชียงรายได้นานพอสมควรแล้ว คือจริงๆมันเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้เอง เป็นเหตุการณ์ที่รู้สึกว่าตัวเองได้เรียน ได้ก้าวขึ้นสู่อีกระดับจริงๆ เลยอยากจะได้ใคร่ครวญกับมันซักหน่อย

การเสพติดครั้งที่สองนี้ มันก็ไม่ได้ตื่นเต้น โลดโผนเหมือนในครั้งแรก มันเพียงแต่ทำให้การเรียนรู้ของเราหยุดชะงัก โตต่อไม่ได้ รู้สึกวนเวียนอย่างไรบอกไม่ถูก? เรื่องมีอยู่ว่า ก่อนหน้านี้ ช่วงที่ผมมาอยู่ที่นี่ได้ซัก 5-6 เดือน ตอนนั้นมันก็เริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลงบ้างแล้ว แม่ที่มาเยี่ยมก็สังเกตเห็นได้ และด้วยความใจดีของแม่ มาเยี่ยมนานๆครั้ง ก็คงอยากจะดูแลผมกระมัง เลยถามผมว่า ?ลูกอยากได้อะไรไหม? นานๆทีแม่มา ก็ไปซื้อกันทีเดียวเลย? ผมเลยได้ที ขอซื้อเครื่องเกม Play station 3 ที่ผมก็อยากได้มานานแล้วเสียเลย ซึ่งแม่ก็ให้ด้วยอาการเป็นห่วง กลัวผมจะแบ่งเวลาไม่ได้ เลยขอคำสัญญาจากผม ซึ่งผมก็ตามน้ำสัญญากับแม่ไป จนผมได้เครื่องเกมมาครอบครอง พร้อมกับเกมดังอีกหกเกม ที่ผมเล่นมันอย่างถอนตัวไม่ขึ้น เล่นมันทั้งวันทั้งคืน ไม่ไปเข้า workshop ไม่ไปวาดรูป ไม่อ่านหนังสือ ไม่ทำอะไรเลย เล่นเกมอย่างเดียว ความสัมพันธ์กับผู้คนก็แย่ตามกันไป สมองก็ไม่ปลอดโปร่ง คิดอะไรไม่ออก การสนทนาในวงก็ไม่ดี จนลุงเริ่มเป็นห่วง จึงเรียกผมไปคุยด้วย แกก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่ถามไถ่ดูตามปกติ แหย่ๆมาบ้าง ซึ่งมันก็ทำให้ผมได้สติระดับหนึ่ง เริ่มเพลาๆเล่นเกมลงไปบ้าง แต่มันก็ยังติดอยู่

มาถึงตอนนี้ลองมาวิเคราะห์ดู ผมว่านิสัยเดิมๆของผม ที่ลุงมักใช้คำว่า ?กองผ้าเน่าๆ? มันก็ยังติดตัวผมมา ไอ้นิสัยการรับปากอย่างชุ่ยๆ การโกหกอย่างเป็นอัตโนมัติ ผมก็ยังไม่ตื่นกับมันมากพอ อาจจะมีครั้ง-สองครั้งที่พอได้สติก็จะกลับไปสารภาพได้บ้าง แต่โดยรวมแล้วมันก็ยังแก้ไม่หาย อีกอย่างมันอาจจะเป็นขอบของผมที่ยังข้ามไม่พ้น คือเราเพิ่งมาเริ่มเรียนรู้ได้ไม่นาน การเยียวยาที่ผ่านมาก็คงได้ระดับหนึ่ง ส่วนที่ป่วยก็คงยังมีอยู่มาก ตอนนี้ที่เริ่มเห็น เรื่องหนึ่งอาจจะเป็นอาการเสพติดการอยู่คนเดียว ผมว่าไอ้การอยู่คนเดียวมากๆนี่มันก็ติดได้นะ อาจจะเกี่ยวกับความกลัวการสัมพันธ์กับผู้คน ที่เมื่อไม่ได้ใช้ยาช่วยแล้ว มันก็ฝ่อไปเลย หรืออาจจะเกี่ยวกับอดีตตั้งแต่อยู่กับครอบครัว ที่คนในครอบครัวก็ไม่ค่อยสนิทกัน แยกกันอยู่ห้องใครห้องมันเสียเป็นส่วนใหญ่ มันเลยอยู่คนเดียวเงียบๆ ไม่ยุ่งกับใครดีกว่า ตัดปัญหาไปเลย ซึ่งมันก็ตัดไม่ได้จริง พอเราอยู่คนเดียว ความที่ยังไม่มั่นคงพอ มันก็ต้องหาอะไรมาทำ ความคุ้นชินเดิมๆก็เริ่มเข้ามา การจะไปทำ ไปสร้างอะไรในตอนนั้น เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อจิตมันไม่ได้ฝึกฝน มันก็ไหลลงต่ำเป็นธรรมดา กลับไปหาเสพอะไรหยาบๆ ที่ได้ง่ายๆ ได้เร็วๆ ไม่ต้องพยายามมาก

มันก็ติดเกมมาเรื่อยๆ บางช่วงก็เล่นหนัก บางช่วงก็ลดลงหน่อย แต่ที่คิดว่ามันผ่านเปลี่ยน หลุดออกมาได้จริงๆ ก็เพิ่งตอนที่ผมมาเริ่มเขียนนี่แหละ พอได้เขียนครั้งแรก ความรู้สึกมันเหมือนตอนเริ่มอ่านครั้งแรกเลย คือเราลองทำแล้วมีคนให้กำลังใจ เราก็อยากทำให้มันดีขึ้นเรื่อยๆ เราก็บ้าเขียนอย่างจริงจัง (อาจจะเป็นความบ้ายอของเราด้วยกระมัง?) คือเหมือนมันเพิ่งอภิเษกกับการเรียนรู้ใหม่ๆ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นช่วงข้าวใหม่ปลามัน เหมือนที่เราเรียนกันว่า ?เมื่อเราสามารถระลึกรู้แล้วว่าเราทำมันได้ การเรียนรู้มันก็จะระเบิดออก มันไม่ได้ค่อยเป็นค่อยไป มันเรียนแบบก้าวกระโดด? ความสนใจทั้งหมดพุ่งไปกับการจะพัฒนางานเขียนให้ดียิ่งๆขึ้น การหาเรื่องมาเขียน การเขียนอย่างสม่ำเสมอ อันนี้คงเป็นการ ?Activate สมองส่วนหน้า? ด้วยรึเปล่า? มันทำให้เราออกจากความคุ้นชินเดิมๆ ออกจากอาการเสพติดได้ มาตอนนี้ผมเลิกเล่นเกมไปเลย สมองมันก็โล่ง ตื่นตัวมากขึ้น ความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิดก็ดีขึ้นด้วย

ดูเหมือนอาการเสพติดของผมทั้งสองครั้งที่มันหลุดออกมาได้ ก็เนื่องจากจังหวะการบ่ม และการสร้างสิ่งใหม่ๆ ซึ่งตรงกับวลีที่พี่เมฟังมาจากเพื่อนคนหนึ่งและยกขึ้นมาพูดในวง ซึ่งผมจับความประมาณได้ว่า "เราไม่เคยสำเร็จเลย ในการต่อสู้กับแบบแผนเดิมๆ เราไม่สามารถจะไปลบมันได้ หากต้องสร้างแบบแผนใหม่ที่ทรงพลังยิ่งกว่า เพื่อการเปลี่ยนแปลงตัวเอง"

Re: บทความชวนคิด จากอดีตเด็กติดยา

โพสต์โพสต์แล้ว: 01 มิ.ย. 2011, 16:03
โดย apotheker
เดิมทีเราอาจจะคิดกันว่ายาเสพติด จะอยู่ในกลุ่มเด็กบ้านแตก หรือคนในระดับรากหญ้า จริงๆแล้วเด็กที่เกิดมาพร้อมทุกอย่าง พ่อแม่มีการศึกษามีฐานะดี เป็นเด็กเรียนดีก็อาจติดยาได้ เพราะพ่อแม่ไม่ได้ให้เวลาความเอาใจใส่กับเขา มัวแต่ทำงานเพื่อคนอื่นและเพื่อวัตถุ และคิดว่าชดเชยความรักด้วยการให้วัตถุได้ ยาเสพติดมันอยู่ใกล้ตัวเด็ก มากกว่าทีเราคิด อย่ามัวแต่ทำงานหาเงิน หรือทำเพื่อคนอื่น จนลืมครอบครัว เพราะ ไม่มีความสำเร็จใด มาชดเชยความล้มเหลวในชีวิตครอบครัวได้

Re: บทความชวนคิด จากอดีตเด็กติดยา

โพสต์โพสต์แล้ว: 30 มิ.ย. 2011, 09:17
โดย omegaboy
ไอ้การอยู่คนเดียวมากๆนี่มันก็ติดได้นะ อาจจะเกี่ยวกับความกลัวการสัมพันธ์กับผู้คน ที่เมื่อไม่ได้ใช้ยาช่วยแล้ว มันก็ฝ่อไปเลย หรืออาจจะเกี่ยวกับอดีตตั้งแต่อยู่กับครอบครัว ที่คนในครอบครัวก็ไม่ค่อยสนิทกัน แยกกันอยู่ห้องใครห้องมันเสียเป็นส่วนใหญ่ มันเลยอยู่คนเดียวเงียบๆ ไม่ยุ่งกับใครดีกว่า ตัดปัญหาไปเลย ซึ่งมันก็ตัดไม่ได้จริง พอเราอยู่คนเดียว ความที่ยังไม่มั่นคงพอ มันก็ต้องหาอะไรมาทำ ความคุ้นชินเดิมๆก็เริ่มเข้ามา การจะไปทำ ไปสร้างอะไรในตอนนั้น เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อจิตมันไม่ได้ฝึกฝน มันก็ไหลลงต่ำเป็นธรรมดา กลับไปหาเสพอะไรหยาบๆ ที่ได้ง่ายๆ ได้เร็วๆ ไม่ต้องพยายามมาก