ผมคงบ่นของผมไปเรื่อยๆนะครับ ถ้าตรงไหนมีสาระ ก็ลองพิจารณาดู
ตรงไหนไร้สาระก็ถือว่าคุยกันขำขำ
จาก10ปีของผมที่ผมไ้ด้จากกการศึกษาพุทธศาสนา
ก็ได้แค่
จริงๆแล้ว ทุกวันที่เรามีชีวิตอยู่ เราจะสัมผัสรับรู้ทุกอย่างได้ของตัวเราเองตั้งแต่ ตื่นจนเข้านอนแทบจะทุกขณะจิต ซึ่งมีทั้งสิ่งพอใจ ไม่พอใจ และอีกสารพัด
สิ่งที่เรามักจะทำ จากการสอนแบบตลาดๆคือ การยอมรับ การปฎิเสธ หรือ การวางใจให้เป็นกลาง หรื อ อุเบกขา การไม่ยึดมั่นถือมั่น
ถ้าท่านเคยลองทำนะ ท่าจะรู้สึกเหนื่อยมาก เพราะว่า มันเกิดขึ้นตลอด ซึ่งการที่จะมาคอย อุเบกขา หรือ ตั้งสติเพื่อคอยระวังทั้งหลาย
ขอบอก ปวดตับมาก
แต่สิ่งที่ผมได้คือ พระพุทธเจ้าสอนให้ เข้าใจว่า กระบวนการทั้้้งหลายมันมาจากไหน ทั้งตั้งแต่ เฟสแรก พวกทุกข์ สุขทั้งหลาย พอใจ ไม่พอใจ
จนกระบวนการ2 การให้ยอมรับ การปฎิเสธ การวางอุเบก การตั้งสติ
สิ่งเหล่านี้ ล้วนมาจากการทำงานของใจ ( ทดลอง จาก การทดลองชุดที่1)
ซึ่งใจ มันก็ทำงานแบบ ไม่มีรูปแบบตายตัว ไม่มีสาระ ไม่มีตัวตนแท้จริง มีแต่ จินตนาการ มีแต่ความคิด
ไม่มีใครบังคับ ใจได้ (จากการทดลองชุดที่2และ3)
เมื่อเข้าใจตรงแล้ว ก็จะตรงกับที่เขากล่าวว่าไม่ต้องทำอะไร