ผมขอตอบเป็น 2 กรณีนะครับ
กรณีที่ 1 ลูกค้ามาเรียกหายา (มียาในใจอยู่แล้ว)
nyla9 เขียน:เพราะตอนนี้ผู้ใช้ยาจำนวนไม่น้อยไม่ต้องการคำแนะนำและการจ่ายยาจากเภสัชกร
อดีตและตอนนี้ ผู้ใช้ยาอยากได้แค่ยา ไม่ได้อยากได้รายละเอียดการใช้ยา
"ฉันรู้แล้ว ฉันไม่ฟัง ขายๆมา ไม่ต้องมาซักมาก ไม่ต้องมาพูดมาก"
คุณคงจะพูดถึงในกรณีนี้ใช่ไหมครับ
ถูกต้องแล้วครับ ในกรณีนี้ไม่ต้องให้ลูกค้าเค้าเดินปรี่เข้ามาหาเภสัชกรหรอกครับ เสียเวลา
ผมขอยกตัวอย่างร้านยาที่ผมประทับใจ ขอเอ่ยชื่อ คือร้านยาองค์การเภสัชกรรม (GPO) สาขากระทรวงสาธารณสุข
เวลาผมไปซื้อยา ก็ไปสั่งยากับผู้ช่วยเลย เค้ามีป้ายบอกไว้เลยว่า ช่องนี้ไม่ต้องการคำปรึกษาจากเภสัชกร
จากนั้นก็จ่ายเงินเสร็จสรรพ รับใบเสร็จ แล้วผู้ช่วยเค้าก็ส่งซองยาไปให้เภส้ชกรตรวจเช็ค เขียนหน้าซอง ส่งมอบเป็นลำดับสุดท้าย โดยที่ไม่ต้องพูดเวิ่นเว้อกันแต่อย่างใด
ที่คุณพูดนั้นถูกครับ แต่เฉพาะในกรณีที่ 1 นี้เท่านั้นนะครับ
กรณีที่ 2 ลูกค้ามาขอคำปรึกษาเพื่อซื้อยา
nyla9 เขียน:อยากให้สภาฯหรือพวกเรา ช่วยกันทำให้ผู้ใช้ยารู้จักความเป็นเภสัชกร รู้จักในบทบาท หน้าที่ ความสามารถของเภสัชกรกันมากกว่า
ปัญหาที่ผู้ใช้ยาไม่คิดว่าเภสัชกรคือหมอยา มากกว่าปัญหาที่เขาไม่รู้ว่าคนไหนคือเภสัชกร
ผมขออุปมาอุปไมยว่า ถ้าเออยากจะซื้อบ้านสักหลัง ถามว่าเอจะได้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจเลือกได้ยังไง
จริงอยู่ว่าผู้ผลิตบ้านเค้าก็ต้องโฆษณาเพื่อให้ข้อมูล แต่ตัวเอเองก็จะต้องค้นหา เปรียบเทียบ ลงลึกสารพัด
เอก็เปรียบเสมือนผู้บริโภคที่จะมาขอคำปรึกษาเพื่อซื้อยา เค้าก็ต้องช่วยเหลือตัวเอง หาข้อมูลเองว่าเภสัชกรนั้นดียังไง
ผู้ผลิตบ้านก็เปรียบเสมือนวิชาชีพเภสัชกรรม ที่ก็ต้องประชาสัมพันธ์บ้าง
จะมาโยนให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้
ที่ผมอยากให้มีการแสดงตนของคนที่ไม่ใช่เภสัชกร เพื่อให้ผู้บริโภคได้มีข้อมูลแล้ว"เลือก"
ถ้าให้แสดงตนกันหมดแล้ว ลูกค้าคนนั้นยังเลือกเดินเข้าไปปรึกษายากับคนที่ไม่ใช่เภสัชกร (ซึ่งตอนนี้นิยมรับเด็กจบ ม.6) ก็ช่วยไม่ได้ มันเป็นชีวิตของเค้า อยากฝากเอาไว้กับใคร ก็ต้องปล่อยตามยถากรรม
ท้ายนี้ เพื่อตอกย้ำว่า ประชาชนก็ยังต้องการเภสัชกรในร้านยาอยู่ ผมไม่ได้คิดเอาเองคนเดียว
อยากนำคลิปที่น้อง ๆ เค้าทำสำรวจมาให้ชมกันครับ
http://www.youtube.com/watch?v=Lq1qOUZhUhA&feature=youtu.be