ผู้นำของเรากลับมอง Sectoral แยกส่วน...
เป็นความจริงที่วิเคราะห์ได้ เพราะ concept ของ อ.ภาวิช คือการนำ pharmaceutical care มานำวิชาชีพ ซึ่งอ้างอิงได้หากใครเข้าร่วมการประชุมสมัชชาเภสัชกรรมครั้งที่ 18 ธันวาคม ปี 2537 หรือ 38 นี่แหละครับ
สิ่งที่น่าแปลกคือ คำที่เขียนแล้วสั้นกว่าคืบ กลับสั่นสะเทือนวงการวิชาชีพ ทั้งแง่ดีและแง่ลบ
ขึ้นกับคนที่มอง และเข้าใจคำว่า pharmaceutical care นะครับ
ถ้าใครดูจากนิยาม ที่ อ.ภญ.เฉลิมศรี ภุมมางกูร ที่ได้ให้คำนิยามไว้ ในโอสถกรรมศาสตร์ ไว้ว่า pharmaceutical care หมายถึง " ความรับผิดชอบของเภสัชกรโดยตรงที่มีต่อการใช้ยาของผู้ป่วย เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ถูกต้องตามต้องการ และเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย" ก็เป็นนิยามที่มองแบบแยกส่วน เพราะมุ่งเน้นเฉพาะเรื่องการใช้ยา (ไม่รวมสิ่งที่ไม่ใช่ยา) และมุ่งเน้นเฉพาะผู้ป่วย แต่ลืมสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้ที่ยังไม่ป่วย แต่เป็นผู้ใช้ยา โดยลืมเรื่องของการป้องกันปัญหาที่เกิดจากยา และการส่งเสริมสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยา
ประมาณปี 2537 - 2538 ถ้าจำไม่ผิด ช่วงนั้นมีการถกเถียงเกี่ยวกับนิยามของคำนี้ เนื่องจากกระแส clinical pharmacy fever ซึ่งทำให้เกิดกระแสความขัดแย้งในหมู่เภสัชกรที่ทำงานพื้นฐานและงานคลินิก จนทำให้เกิดคำใหม่คือ pharmaceutical care มาแทน จึงมีผู้ที่เสนอว่า pharmaceutical care ควรแบ่งงานเป็นงานหลัก 2 ส่วน คือ
1. pharmaceutical care for individual patients
2. pharmaceutical care for community
เวลาที่ผ่านไปประมาณ 12-13 ปี ผมพบว่าความเข้าใจของเภสัชกรหลายท่าน ยังเข้าใจแต่ว่า pharmaceutical care คือ patient care ซึ่งน่ากังวล เพราะนั่นหมายถึงการกำหนดวิชาชีพเภสัชกรรมที่มุ่งเน้นที่จะหากินอยู่กับความทุกข์ทรมานของผู้ป่วย เพราะขาดความคิดด้านชุมชน สังคม ที่จะป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา มากกว่าแก้ปัญหาที่ปลายน้ำ
ผมเข้าใจว่าความคิดเภสัชกรหลายท่านกำลังย้อนยุคไปสู่แนวความคิดสาธารณสุขแบบล้าหลัง ที่ไม่มองเห็นความสำคัญของการป้องกันและส่งเสริมสุขภาพ แต่มุ่งเน้นแต่การดูแลผู้ป่วยเฉพาะรายอย่างภาคภูมิใจ (โดยรอแต่หา case ที่ complicate แล้วภาคภูมิใจกับฝีมือและความสามารถของตน)
และที่ผมไม่เข้าใจคือ อเมริกาเคยทุกข์ทรมาน กับความล้มเหลวด้านระบบสุขภาพ เพราะเน้นแต่การรักษา การใช้ยาที่มากเกินไป แต่ผู้นำด้านวิชาชีพเภสัชกรรมกลับนิยมความเป็นอเมริกา โดยพัฒนาความเป็นอารยะแบบอเมริกาเป็นหลัก
หากลองถามว่าหลักสูตร 6 ปี ที่เภสัชกรร่ำเรียนอยู่นั้น มาจากไหน อาจารย์หลายท่าน ก็จะตอบว่า "เราคัดลอกมาจากอเมริกา" และเราสามารถหาอ่านได้ด้วยว่า clinical pharmacy ซึ่งเป็นการเน้นให้ว่าที่เภสัชกรร่ำเรียนอยู่นั้น ล้วนลอกและเอาแนวความคิดมาจากอเมริกาทั้งสิ้น
แปลกดีนะครับ ผมฟัง อ.ภาวิช (ที่รักของผม) พูดเมื่อครั้งเป็นนายกสภาฯ สมัยแรก และสมัยปัจจุบัน ปัญหาที่ อ.ภาวิชเล่าทุกครั้งไม่เคยเปลี่ยนว่า ความตกต่ำของวิชาชีพเภสัชกรรมนั้นเริ่มจากอเมริกาเป็นหลัก (แต่เป็นปัญหาที่ไม่เคยพูดถึงว่า ประเทศไทยเป็นอย่างไร เหมือนอย่างที่ อาจารย์บางท่าน เคยบอกว่า เป็นวิธีการที่ไม่ดูกำพืดตัวเอง)
นั่นจึงเป็นคำตอบว่า "ทำไม" วันนี้การศึกษาเภสัชศาสตร์ จึงเกิดความสับสน
ผมเข้าใจในความอยากพัฒนาวิชาชีพของ อ.ภาวิช
แต่เราต้องพัฒนาจากความจริง ไม่ใช่ความคิดที่ลอกแบบ มาเป็นหลัก
คิดให้รอบด้านจะดีกว่าไหมครับ เหมือนที่เภสัชกรประชาสรรค์บอกไว้
และต้องพัฒนาแบบองค์รวมครับ (แต่แยกกันทำงานตามหน้าที่)