โดย wannee » 27 ก.ค. 2008, 23:59
บทความนักศึกษาค่ะ
เรียนเภสัชเพิ่มอีก 1 ปี จะทำให้เภสัชกรทำงานได้ดีขึ้นจริงเหรอ?
คนเราโดยส่วนใหญ่มักเชื่อถือในคำพูดของบุคคลที่เชื่อกันว่า คือผู้เชี่ยวชาญดังจะเห็นได้จากการโฆษณา ยาสีฟัน ที่มักมีภาพของคนที่มีหน้าตาน่าเชื่อถือแต่งกายคล้ายผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และบอกแก่ผู้ชมว่า คนๆนี้ คือผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรม และมาทำการสาธิตข้อดี หรือ อาจจะมาพูดในทำนองที่ว่า สินค้าตัวนี้ดีกว่าของคู่แข่งอย่างไร โดยที่เราเองก็เผลอเชื่อว่าสินค้าตัวนั้นดีจริงๆ ก็ผู้เชี่ยวชาญเขาบอกอย่างนั้นนี่นา อาจเป็นเพราะเราเองเชื่อว่าสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญพูดนั้นเป็นความจริง และเชื่อว่า ผู้เชี่ยวชาญเชี่ยวชาญเรื่องนั้นจริงๆโดยลืมฉุกคิดว่า คนที่กล่าวอ้างนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญจริงหรือเปล่า หรือต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญจริงข้อมูล ที่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวอ้างนั้นได้มาอย่างไร เป็นข้อมูลที่ได้จากการศึกษาที่เป็นวิทยาศาสตร์หรือไม่หรือได้จากการคาดเดา ว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้น หรือเพราะการได้ผลประโยชน์จากเจ้าของผลิตภัณฑ์
วิชาชีพเภสัชกรรม กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงจากการบังคับให้เภสัชกรต้องเรียน 6 ปี โดยการผลักดันจากผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อความคิดในแวดวงวิชาชีพ ว่า การเปลี่ยนหลักสูตรให้เรียน 6 ปี จะทำให้การทำงานเภสัชกรรมดีขึ้น โดยยกเหตุผลมากมายสนับสนุน แต่ก็ได้รับการทักท้วงจากอีกกลุ่มที่เห็นว่าการบังคับให้เรียน 6 ปีนั้นอาจมีผลเสียต่อสังคมโดยรวม วิชาชีพ และตัวเภสัชกร มากกว่าผลดีที่จะได้รับ และเสนอทางเลือกอื่นๆ เช่น การแยกใบประกอบวิชาชีพ หรือให้มีการเรียน 6 ปี และ 5 ปี หรือการปรับให้เรียน 5 ปีทั้งหมด และให้การบริบาลเภสัชกรรม เป็นทางเลือกสำหรับการศึกษาต่อเนื่องเป็นความเชี่ยวชาญพิเศษเฉพาะบุคคล แต่สุดท้าย ผู้เชี่ยวชาญก็ยังยืนยันว่า การเรียนเภสัชกรรม 6 ปี ดีกว่า 5 ปีแน่นอน แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่ามันดีกว่าตรงไหนในเมื่อ
1 งานของเภสัชกรมีมากมายหลายด้านแต่การศึกษาเภสัชศาสตร์จะเน้นที่การบริบาลเภสัชกรรมด้านเดียว อีกไม่นาน งานที่เคยเป็นของเภสัชกรก็จะถูกแทนที่ด้วยนักศึกษาจากสาขาอื่น ถ้าตำแหน่งงานในโรงพยาบาลเต็ม เภสัชกรจบใหม่จะไปทำงานที่ไหน การจะกลับไปทวงงานที่เคยทำมันจะทำได้ไหม ในเมื่อนายจ้างสามารถจ้างคนอื่นมาทำงานแทนเภสัชกรได้ในราคาที่ถูกกว่า
2 แหล่งฝึกงานที่มีคุณภาพเพียงพอสำหรับการศึกษาด้านการบริบาลเภสัชกรรมรองรับนักศึกษาได้มากแค่ไหนกัน แน่ใจได้อย่างไรว่า นักศึกษาเภสัชศาสตร์ ปีละประมาณ 1,200 คนที่จบมาใหม่จากหลักสูตร 6 ปี จะมีคุณภาพดีกว่า หลักสูตร 5 ปี แบบที่เคยใช้มาอย่างยาวนาน ทำไมไม่ปล่อยให้เอาเวลา 1 ปีที่ต้องเรียนในสถานศึกษา ไปเริ่มต้นทำงานในที่ทำงานของตัวเอง ไปปรับปรุงอะไรๆให้ดีขึ้น เก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานให้เกิดความเชี่ยวชาญในงานของตน โดยที่ระหว่างนั้นก็มีรายได้เลี้ยงตัวเอง และครอบครัว
3 สืบเนื่องจากข้อที่ 2 ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง คนอายุ 23 ปี 2 คน คนหนึ่งเป็นเภสัชกรจบใหม่ 5 ปี รายได้เดือนละประมาณ 17,000 บาท อีกคนเป็นนักศึกษาเภสัชศาสตร์ ปี 6 ฝึกงาน ค่าใช้จ่าย ส่วนตัว เดือนละ 5,000 บาทค่าลงทะเบียนเรียน ปีละ 30,000 บาท สมมติที่พักฟรีในโรงพยาบาล ไม่เสียตังค์ คิดว่า 2 คนนี้ใครมีความสุขกว่ากัน และจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ผลประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นจากการเป็นเภสัชกร 6 ปี นั้น ต้องใช้เวลากี่ปีจึงจะชดเชยค่าเสียโอกาสตรงนี้ ถ้าคุณเป็นผู้ปกครองที่มีลูกกำลังเรียน เภสัชศาสตร์ อายุเท่ากันกับบุคคลสมมติข้างต้น [b]คุณอยากให้ลูกอยู่ในสถานภาพใด[/b]
4 ถ้าเภสัชกรต้องทำงานในร้านยา มีอะไรรับประกันว่า เภสัชกรที่เรียน 6 ปีจะได้เปรียบกว่าเภสัชกรที่เรียน 5 ปี ในเมื่อสภาพความเป็นจริงทุกวันนี้ ร้านยาที่มีเภสัชกรประจำยังแทบจะเอาตัวไม่รอดจากกลยุทธ์ทางการตลาดสารพัดที่พ่อค้าซึ่งไม่ต้องปฏิบัติตามจรรยาบรรณวิชาชีพ การบริบาลเภสัชกรรมในร้านยาโดยเภสัชกร 6 ปี ให้ประโยชน์แก่ประชาชนมากกว่าเมื่อเทียบกับเภสัชกร 5 ปีจริงหรือไม่ และร้านยาที่มีเภสัชกร 6 ปี มีโอกาสอยู่รอดมากกว่าร้านยาที่มีเภสัชกร 5 ปี ในทางตรงข้าม ถ้าค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของการศึกษาเภสัชศาสตร์ต่อปี อยู่ที่คนละ 100,000 - 250,000 (ขึ้นกับหลักสูตร และค่าครองชีพในแต่ละมหาวิทยาลัย) เภสัชกรที่เรียนหลักสูตร 5 ปีจะสามารถนำเงินที่ประหยัดได้ตรงนี้เป็นทุนในการเปิดร้านยาได้เปรียบกว่าเภสัชกรที่เรียน 6 ปีชัดเจน ซึ่งสภาพเช่นนี้ ถ้าเภสัชกรจบใหม่หลักสูตร 5 ปี กับ 6 ปี 2 คนเปิดร้านในทำเลเดียวกัน ร้านยามีขนาดใกล้เคียงกัน และความสามารถในการบริหารธุรกิจใกล้เคียงกัน คิดว่านักศึกษาเภสัชศสตร์อยากอยู่ในสภาพใด
5 ว่ากันว่า การเรียน 6 ปีจะทำให้เกียรติศักดิ์ของวิชาชีพเทียบเท่าแพทย์ ทันตแพทย์ แล้วถ้ามองในสายตาเป็นธรรม มันเป็นเรื่องจริงแน่เหรอ ในเมื่อความรู้สึกภาคภูมิในในตัวเอง ในงานที่ตัวเองทำ หรือคุณค่าของวิชาชีพ เป็นเรื่องของความรู้สึกส่วนบุคคล คนเราจะไม่มีวันรู้สึกต่ำต้อย ถ้าไม่คิดว่าตัวเองต่ำต้อย ถ้าตรรกะที่ว่า ระยะเวลาการเรียนเท่าแพทย์ หรือทันตแพทย์จะทำให้การยอมรับ เกียรติศักดิ์ของวิชาชีพ หรือแม้กระทั่งรายได้เทียบเท่าวิชาชีพดังกล่าว ถ้าเช่นนั้น การเรียน เภสัชศาสตร์ 7 ปีจะทำให้เภสัชกรได้รับการยอมรับมากกว่าแพทย์ ทันตแพทย์จริงเหรอ
6 สืบเนื่องจากข้อ 5 บางที การที่มีนักศึกษา หรือเภสัชกรส่วนหนึ่งรู้สึกว่าเภสัชเรียนน้อยกว่าแพทย์และทันตแพทย์เลยมีเกียรติน้อยกว่าจนรู้สึกเป็นปมด้อยนั้น ความจริงคนที่คิดเช่นนั้นอาจเป็นเพราะเคยพลาดหวังจากการสอบเข้าเรียนในคณะดังกล่าวจนรู้สึกฝังใจว่า ตัวเองดีไม่พอ จึงเข้าเรียนในคณะเภสัชศาสตร์ที่มีคะแนนน้อยลงมา พาลทำให้คิดว่า เภสัชกรมีคุณค่าน้อยกว่า 2 วิชาชีพข้างต้น และคิดต่อไปว่า บางทีการเรียนเท่ากับ 2 วิชาชีพนั้นจะทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีขึ้นมาได้ โดยลืมมองสภาพความจำเป็นของการทำงานของเภสัชกรว่า จำเป็นต้องเรียน 6 ปีจริงหรือไม่ หากสมมติฐานข้อนี้เป็นจริง ผมก็อยากเชิญชวนเภสัชกรรุ่นพี่ และนักศึกษาเภสัชศาสตร์ทุกคนให้กลับมานับถือคุณค่าของตัวเอง คุณค่าของงานที่ทำและมีความสุขกับการใช้ชีวิตในปัจจุบันมากกว่าที่จะมามัวน้อยใจและโทษบทบาทการทำงานของวิชาชีพ และหันมาเอาใจใส่ผู้ป่วยดุจญาติมิตร แล้วจะเกิดความสุขใจตามมาเอง อย่างน้อยๆ เภสัชกร ก็มีชีวิตที่มีความสุข ไม่ต้องถูกตามตัวไปหอผู้ป่วยตอนดึกๆ ไม่ต้องกดดันกับการช่วยชีวิตผู้ป่วย และไม่ต้องเจอกับความหดหู่เวลาที่คนไข้เสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตา หรือการต้องทำงานช่องปากวันแล้ววันเล่า ซึ่งความเสียสละส่วนนี้ของเพื่อนต่างวิชาชีพ โดยส่วนตัวผมยินดีให้พวกเขาเหล่านั้น มีเกียรติมากกว่า และมีรายได้มากกว่า จากประสบการณ์ที่แม้จะยังห่างชั้นกับระดับผู้เชี่ยวชาญอีกเยอะ แต่ผมเชื่อว่า แม้เภสัชกรจะเรียน 5 ปีแต่เกียรติศักดิ์ และการยอมรับนับถือจากสังคมไม่ได้ต่างจากแพทย์และทันตแพทย์เลยสักนิด และเชื่อว่า 2 วิชาชีพนั้น ก็คงไม่ได้ดูถูกเหยียดหยามเภสัชกรอย่างที่คิดกันไปเอง เพราะทุกวิชาชีพต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกันเพื่อสุขภาพของประชาชน และพระบิดาแห่งวงการแพทย์ก็ไม่ได้สอนให้ บุคลากรทางการแพทย์ดูถูกซึ่งกันและกัน ดังนั้นแทนที่จะเอาเวลามารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ก็ควรเอาเวลามาสร้างสรรค์งานที่ทำ ดูแลเอาใจใส่ลูกน้อง สร้างระบบการให้บริการทางเภสัชกรรมที่ดีแก่ผู้ป่วย หรือทำให้งานของตัวเองมีคุณค่า เดี๋ยวความสุขทางใจก็ตามมาเอง ไม่เห็นจะต้องบังคับให้เภสัชกรต้องเรียนเพิ่มอีก 1 ปี เพราะสิ่งที่สร้างขึ้นจากความรู้สึกภายในใจนั้น หลักสูตรใดๆก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้จนกว่า คนๆนั้นจะเปลี่ยนเอง
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแนวคิดที่ทำให้เกิดข้อสงสัยที่ว่า เรียนเภสัชเพิ่มอีก 1 ปี จะทำให้เภสัชกรทำงานได้ดีขึ้นจริงเหรอ? เพราะสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญบอกเราว่า เปลี่ยนแล้วดีแน่ๆนั้น หลายเรื่องยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นเรื่องจริง ในขณะที่ผลกระทบอันเลวร้ายที่อาจเกิดขึ้นก็มีความเป็นไปได้พอๆกัน ปกติผมเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีนะครับ แต่บังเอิญว่า สภาพสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ ค่าใช้จ่าย 1 ปีที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ และยิ่ง ในอนาคต อีก 5 ปี เงินเฟ้อในอัตรา ปีละ 7 - 8 เปอร์เซ็นต์ ไม่รู้ว่ารุ่นน้องที่ขึ้นปี 6 ในตอนนั้นต้องลงทุนกับการศึกษาคนละเท่าไหร่ต่อปี สงสารน้องรุ่นหลังๆและผู้ปกครองครับ แทนที่จะเรียนจบพร้อมอนาคตที่สดใส กลับกลายเป็นหนี้ก้อนใหญ่อยู่บนบ่าแทน ความคิดพื้นฐานง่ายๆนี้ ไม่ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญก็มองออกครับ มีวิธีอื่นอีกเยอะแยะครับ ในการที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของเภสัชกร ถ้าเภสัชกรช่วยกันคิดเดี๋ยวก็คิดออกเองครับ
ด้วยความเชื่อมั่นในเหล่าเม็ดทราย ที่กร่นกรายมีหลายหลากทั้งนาคร ที่จะร่วมกันเป็นพลังสร้างเกียรติกำจร แล้วเภสัชกรจะไว้ชื่อชั่วดินฟ้า