rinko เขียน:ในซอยเดียวกะที่ร้านตั้งอยู่มีร้านยาอีก 4 ร้านค่ะ ไม่รวมร้านตัวเอง ทุกร้าน ไม่มีเภสัชกรอยู่เลยค่ะ เคยมีคนไข้เข้ารพ.เพราะกิน CPM 1 กระปุก ในวันเดียว ซื้อจาก 1 ใน 4 ร้านนี้ คนไข้พูดไม่ได้ ลูกชายจึงมาหาที่ร้าน และพยายามโวยวายว่าซื้อที่ร้าน บังเอิญร้านติด sticker สีตามปีที่หมดอายุ แต่ขวดที่เขาถือมา มีแต่ sticker ราคา ซึ่งที่ร้านไม่มี จึงอธิบายให้เขาฟัง และบอกเขาว่า ถ้าคุณแม่ซื้อในเวลาที่ไม่ใช่เวลาปฏิบัติการของเภสัชกร สามารถแจ้งอย.ได้เลยค่ะ เพราะ CPM เป็นยาอันตราย ต้องจ่ายโดยเภสัชกรเท่านั้น หากอยากให้เราช่วยแจ้ง อย. ให้ ก็ได้ค่ะ เขากลับตอบว่า ไม่เป็นไร ยังไงแม่ก็เข้ารพ.ไปแล้ว แล้วก็ออกไปด้วยท่าทีโมโห+หน้าแตก ไอ้เราก็โมโหค่ะ แต่ไม่ได้โมโหลูกชายเขานะ โมโหร้านที่จ่ายมากกว่า หลังจากนั้นจึงแจ้งอย.เองค่ะ เมื่อ อย. มาตรวจ เขากลับบอกเราว่า ไม่ต้องแจ้งหรอก เภสัชกรไม่อยู่ร้านเป็นเรื่องปกติ เราร้านใหญ่ อย่าไปกลั่นแกล้งพวกร้านเล็กๆ ไอ้เราก็ อ้าว แปลว่าฉันผิดปกติ อึ้งอย่างเดียว ไม่ได้เถียง ตั้งตัวไม่ทัน เฮ้อ ถ้ามีมาตรฐานการตรวจร้านอย่างนี้ อย่ามีเลยดีกว่า
หลังจากนั้นก็เลยมีกระบวนการทำกันเองในร้าน เพื่อพยายามจะเป็นคนหนึ่งที่ทำให้การแขวนป้ายลดลง ไม่รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไรแต่ทำไปบ้างแล้วค่ะ ได้แก่
1. ออกใบปลิว เพื่อให้คนไข้สังเกตด้วยตนเอง ว่าร้านยาไหนมีเภสัชกรจริงบ้าง ซึ่งก็เป็นขั้นตอนง่ายๆค่ะ เช่น ให้สังเกตใบประกอบ คำนำหน้าชื่อเภสัชกรว่าเป็นเพศไหน ความสามารถในการซักประวัติการใช้ยา etc. ซึ่งคนไข้ก็ชอบหยิบใบปลิวนี้ไปอ่านกันเองค่ะ แจกเองด้วยบ้าง ก็หวังว่าคนไข้จะเข้าใจเภสัชกรมากขึ้น โดยในใบปลิวจะมีเบอร์โทรศัพท์เพื่อร้องเรียนอย.ด้วยค่ะ
2. จัดทำป้ายคำประกาศสิทธิผู้ป่วยให้เห็นชัดๆ และมีรายละเอียด คนไข้ที่ร้านชอบอ่านค่ะ แล้วเขาจะบอกเองว่ามีด้วยเหรอ เพิ่งรู้นะเนี่ย
3. จัดทำป้ายแสดงความเป็นเภสัชกร เช่น คุณจะเลือกให้ใครดูแลสุขภาพของคุณ พ่อแม่เภสัชกร ญาติเภสัชกร หรือเภสัชกร อะไรทำนองนี้ค่ะ ทำไว้หลายๆอัน ลูกค้าก็ชอบอ่านค่ะ
4. ทำแผ่นพับเกี่ยวกับโรคต่างๆ คนไข้ก็ชอบค่ะ เขาก็จะปรึกษาเราเรื่องแผ่นพับเหล่านั้นเอง
จริงๆแล้ว ทำๆไปก็สนุกค่ะ พอคนไข้อ่านเราก็ดีใจ คนไข้หยิบก็ดีใจ แต่ถ้าอันไหนทำออกมาแล้วคนไข้ไม่สนใจก็จะปรับปรุง เปลี่ยนแปลง เวลาที่เราอยู่ร้านจริงๆมีเวลาเหลือเยอะนะคะ รอ อย. หรือสภามาตรวจมันคงไม่ทันค่ะ เราคงต้องเป็นฝ่ายรุกกันเองด้วย ลืมบอกไปว่า ที่ร้านยังไม่ใช่ร้านยาคุณภาพค่ะ แต่ก็เอามาตรฐานส่วนหนึ่งมาใช้ เพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์กับคนไข้ และภาพลักษณ์ของร้านด้วยค่ะ
ที่ร้านเอง เวลามีคนไข้มาบ่นเรื่องยาชุด กินยาไม่หาย คนขายไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็จะสอบถามรายละเอียด บางเรื่องก็ร้องเรียนเองค่ะ เพราะทนไม่ได้จริงๆ บางทีก็ขอตัวอย่างยาชุดไว้เลยค่ะ ไม่รู้จะมีโอกาสได้ร้องเรียนไหม แต่ก็ขอตัวอย่างยาไว้ก่อนเลย
เรื่องแขวนป้ายเป็นปัญหาใหญ่ค่ะ แต่ในฐานะที่เราเป็นเภสัชกร และอยู่ร้านจริงทั้งวัน ปัญหานี้จะกลายเป็นประโยชน์กับเราได้ค่ะ ช่วยกันคิด หากิจกรรมสร้างสรรค์ที่ทำให้คนไข้รู้สึกดีดีกับเภสัชกร และร้านของเรา แล้วทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอค่ะ ที่ร้านเปิดมาเกือบปี คนไข้ก็ยังมีขอยาชุด เอาตัวอย่างยามา จะเอาอย่างที่เคยกิน ต่อราคา ซึ่งปัญหาเหล่านี้คงไม่หายไปหรอกค่ะ เพียงแต่เราต้องตั้งรับ และหัดรุกซะบ้าง อย่ารอแค่นโยบายที่ไม่รู้เมื่อไรจะได้เห็นว่าเป็นธรรมกับตัวเราเอง เพราะถ้ามัวแต่รอ ไฟแห่งความฝันว่าเภสัชกรจะมีเครดิตอะไรต่อมิอะไรดีขึ้น ก็คงดับไป
มองโลกในแง่ดีไว้ค่ะ ปัญหาทุกอย่างคือโอกาสสำหรับเรา
หัวอกเดียวกับคุณ rinko เลยค่ะ เคยแจ้ง สสจ แล้วหลายเรื่อง กลับโดนตอบกลับมาว่า พี่รู้ตั้งนานแล้ว ว่าเค้าขายสเตียรอยด์ คนกินแล้วเสียชีวิต ยาที่ใช้เฉพาะใน รพ เท่านั้นมีหมดทุกตัว จ่าย viargra ทำใจเถอะน้อง ( เสื่อมศรัทธาพี่เภสัชคนนั้นมากเลย )
แถวนี้มี 7 ร้าน แขวนป้ายหมดเลย ไม่มีเภสัชอยุ่ แม้แต่ ชั่วโมงเดียว แถมร้านที่เปิดเมื่อปีที่แล้วก็เป็นน้องชายของ หมอตี๋ร้านนึงมาขอเปิด สสจ ก็ให้เปิดเฉยเลย แถมใช้ชื่อร้านต่อท้ายว่า เภสัชอีกต่างหาก ( ช่างไม่รุ้สึกอะไร ทั้งคนขอ และคนให้อนุญาติ )
เมื่อได้ยินพี่เภสัชคนนั้นพูดอย่างนั้นแล้ว ก็เลยคิดว่า ต่อสู้เองคนเดียวก็ได้ ตอนนี้เปิดมาปีกว่า ชาวบ้านแถวนี้เห็นความจำเป็นของเภสัช ให้ความเชื่อถือ และไว้ใจ มากขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ โดยทำทุกวัน และคิดว่าจะทำต่อไปเรื่อยๆค่ะ (ทั้งๆที่เหนี่อยมาก) โดยไม่ติดต่อกับ สสจ อีกเลย เซ็งมากๆค่ะ
ที่ร้านยังไม่ทำร้านยาคุณภาพเหมือนกัน แต่ทุกอย่างที่ทำก็แสดงถึงความเป็นเภสัชให้ชาวบ้านเห็นก้พอแล้ว ไม่รุ้จะทำทำไม มีแต่ข้อแม้ที่เป็นเปลือกนอกเยอะแยะ ที่ร้านจะมีแผ่นพับเรื่องโรคต่างๆ อย่างโรคที่ต้องมีคำแนะนำการปฎิบัติตัวเยอะ จะยื่นให้แล้วอธิบายด้วย อย่างโรคเก๊าท์ พวกนี้คนไข้จะสนใจมาก จะบอกว่า ไม่เคยรู้เลยว่า ห้ามทานนู่นนี่ด้วย ถึงว่าว่าวันนั้นไปกินถึงปวดขึ้นมา
เวลาจ่ายยาจะซักอาการละเอียด เขียนฉลากยาละเอียด อธิบายจนมั่นใจว่าคนไข้ที่ได้รับยาไปแล้วจะเข้าใจ และทานตามที่สั่งได้ถูกต้อง คนไข้จ่ายเงินแล้วยังอธิบายต่อ แรกๆคนไข้ก็ไม่ค่อยเข้าใจ ไม่อยากฟัง หลังๆ ทุกคนจะเข้ามาถามนู่นนี่ใหญ่เลย และระมัดระวังการกินยามากขึ้น หลายคนบอกว่า เดี๋ยวนี้ไปร้านอื่นไม่เป็นแล้ว เวลาไม่สบายก้มาที่นี่ที่เดียว ( จนตอนนี้หมอตี๋ร้านนึงปล่อยข่าวว่าจะจ้างเภสัช แต่ก็ไม่เห้นจ้างซะที สงสัยจะทนไม่ใหวแล้ว )
มีเรื่องอยากจะถามพี่ๆค่ะ คือ มีคนไข้คนนึงมาซื้อยาแล้วบังเอิญมาเล่าให้เราฟังว่าเดี๋ยวนี้ซื้อยา ต้องระวังมากเลย เพราะร้านหมอตี๋ ( ร้านเดิมร้านเดียว ไร้จริยธรรมสุดๆเลย ) จ่ายยาชุดแก้หวัดให้เด็ก ชายอายุ สิบกว่าขวบ ทานแล้วเกิดอาการแพ้ขั้นรุนแรง ขึ้นผึ่นเต็มตัว ก็เลยกลับไปหาที่ร้านนั้น หมอตี๋ก็ให้เงินไป 10000 แล้วบอกให้กลับบ้านไป โดยที่ไม่ได้บอกว่าให้ไปหาหมอ จนเวลาผ่านไป เด็กมีอาการรุนแรงจนขึ้นตา รีบไป รพ ใน กทม หมอบอกว่า ทำไมมาช้า ตอนนี้รักษาไม่ทันแล้ว สรุปเด็กคนนั้นตาบอดค่ะ น่าสารมาก
พี่เค้าบอกว่า เป้นเด็กแบบชาวบ้านไม่รู้เรื่องอะไร เป็นลูกจ้างในซอยบ้านเค้า ทั้งเด็กและแม่เด้กฟ้องไม่เป็นอยุ่แล้ว
แล้วชาวบ้านแถวนั้นก้พูดต่อๆ กันว่ามีคนไปซื้อยาร้านขายยา กินแล้วตาบอด แต่กลับไม่กล้าเมาท์กันว่าร้านใหน เพราะเกรงใจหมอตี๋ที่เป็นคนเก่าแก่ ตามประสาคนต่างจังหวัด ( เวลามีเรื่องอะไรอย่างนี้ คนไม่กล้าพูดต่อๆกัน )
อย่างนี้เราสามารถจะช่วยอะไรได้บ้างมั้ยคะ สงสารเด็กมากๆ แจ้ง สสจ จะมีขั้นตอนอย่างไงบ้าง แบบ จม ไม่ลงชื่อได้มั้ย หรือไม่ต้องยุ่งเลยดีกว่าจะได้ไม่เกี่ยวกัน เพราะเราอยู่ในชุมชนต่างจังหวัดอะค่ะ ขอบคุณค่ะ