New Document









เรื่องสภากำหนดให้ต่อไปมีแต่หลักสูตร 6 ปี

Re: เรื่องสภากำหนดให้ต่อไปมีแต่หลักสูตร 6 ปี

โพสต์โดย zartingtong » 08 พ.ค. 2008, 21:15

อ้าว เห็นแผลบๆเผลอคิดว่าเป็น หมอเหวง ซะอีก
:lol: :lol: :lol:
แก้แบบประชาธิปไตยเป็นวิถีทางถูกต้องและสง่างามถึงแพ้คนก็สรรเสริญว่า spirit สูงส่งและเสียสละเพื่อความสามัคคีของวิชาชีพจริงๆ ถ้าชนะอีกหนคนก็ไม่ครหาอีกต่อไปเพราะถือว่าเป็นเสียงส่วนมาก


ฉันว่ายังมีคนที่เข้าจ๊าย
แก้ไขล่าสุดโดย zartingtong เมื่อ 08 พ.ค. 2008, 21:22, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
zartingtong
 
โพสต์: 1260
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ส.ค. 2006, 19:14







Re: เรื่องสภากำหนดให้ต่อไปมีแต่หลักสูตร 6 ปี

โพสต์โดย wannee » 08 พ.ค. 2008, 22:03

ตั้งจิตอธิษฐาน อุทิศบทความนี้แด่ สภาเภสัชกรรมแห่งประเทศไทย และ เภสัชกรรมสมาคมแห่งประเทศไทย :book: :book:

http://www.matichon.co.th/matichon/mati ... ionid=0116

วันที่ 08 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11016

ปัจจัย ความเสื่อม ปัจจัย ภายใน ภายนอก วิกฤตการณ์ ผู้ใหญ่

คอลัมน์ วิภาคแห่งวิพากษ์

ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ไม่ว่าจะเป็น นายธีรยุทธ บุญมี ความเห็นตรงกันเรื่องแนวโน้มหนึ่งในทางสังคม คือ แนวโน้มที่ความเชื่อมั่น ศรัทธา ต่อ "ผู้ใหญ่" ลดน้อยลง

เพียงแต่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ สรุปว่าเป็นลักษณะอันเป็น "อาเพศ"

เพียงแต่ นายธีรยุทธ บุญมี สรุปว่าเป็นลักษณะอันเป็น "ความเสื่อม" หนึ่งที่ปรากฏเด่นชัดยิ่งขึ้นเป็นลำดับ

นี่ย่อมดำเนินไปตามกฎแห่งความไม่เที่ยง เป็นอนิจจลักษณะ

เป็นอนิจจลักษณะซึ่งไม่เพียงแต่ดำรงอยู่อย่างเป็นธรรมชาติภายในของทุกสรรพสิ่ง ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต

ทั้งที่เป็นพืชและเป็นสัตว์

ทั้งที่เป็นคนและไม่ใช่คน

อันถือว่าเป็นเหตุปัจจัยภายในในแต่ละสรรพสิ่งเท่านั้น หากความไม่เที่ยงเหล่านี้ยังสัมพันธ์กับแรงกระทบอันเนื่องแต่เหตุปัจจัยภายนอก
นั่นก็คือ ขึ้นอยู่กับตัวตนของ "ผู้ใหญ่" และขึ้นอยู่กับสภาวะที่แวดล้อม "ผู้ใหญ่" นั้นด้วย

กระนั้น ในที่สุดแล้วความเสื่อมย่อมมาจากวัตรปฏิบัติของ "ผู้ใหญ่" อย่างเป็นด้านหลัก อย่างมีนัยสำคัญ

เหตุปัจจัยอันใดที่ทำให้ "ผู้ใหญ่" ดำรงอยู่ในสถานะแห่งความเป็น "ผู้ใหญ่" ได้รับความเคารพ ได้รับความเชื่อมั่น ได้รับความศรัทธา

นี่ย่อมมิได้เป็นเรื่องของ "วัยวุฒิ" ประการเดียว

นี่ย่อมมิได้เป็นเรื่องของ "ชาติวุฒิ" ประการเดียว

นี่ย่อมมิได้เป็นเรื่องของยศถาบรรดาศักดิ์ นี่ย่อมมิได้เป็นเรื่องของตำแหน่งอันสูงส่ง ประการเดียว

ทั้ง 3 ประการนี้เป็นประหนึ่งเหตุปัจจัย เกื้อหนุน เสริมส่ง

หากประการสำคัญอันเป็นปัจจัยชี้ขาดเป็นอย่างมากย่อมขึ้นอยู่กับวัตรปฏิบัติอันเป็นที่ประจักษ์ในเรื่องความบริสุทธิ์ ความเที่ยงธรรม

ที่ว่าประจักษ์นั้นย่อมเป็นการประจักษ์อย่างเป็นรูปธรรม

รูปธรรมนั้นก็คือ ประจักษ์ว่าท่านอยู่เหนือผลประโยชน์ ท่านอยู่เหนือสภาวะแห่งความขัดแย้งแตกแยกที่เกิดขึ้น ดำรงอยู่และดำเนินไป
ความเสื่อมจะปรากฏพลันที่มีผลประโยชน์ พลันที่มีการฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

เหตุใดทั้งมนุษย์และเทวดาจึงมองเห็นความเที่ยงธรรมของท้าวมาลีวราชเมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างพระรามกับราพนาสูร

แม้ว่าท้าวมาลีวราชจะเป็นญาติกับฝ่ายของราพนาสูร

คำตอบประการหนึ่ง คือ ความเที่ยงธรรม คำตอบประการหนึ่ง คือการเลือกข้างที่ถูกโดยไม่คำนึงเรื่องความสัมพันธ์ทางส่วนตัว

นี่คือรูปธรรมของการอยู่เหนือผลประโยชน์ อยู่เหนือความขัดแย้ง
แต่หากเมื่อใดท้าวมาลีวราชกระโจนไปอยู่ฝ่ายเดียวกับราพนาสูตรหรือฝ่ายพระรามตั้งแต่ต้นก็ยากเป็นอย่างยิ่งจะได้รับความเชื่อถือ

"ผู้ใหญ่" ที่ลงมาละเลงด้วยมือของตนเองยากยิ่งจะดำรงสถานะความเป็น "ผู้ใหญ่" อยู่ได้

กระแสวิพากษ์วิจารณ์ความเหมาะควรของ "ผู้ใหญ่" บางคน กระแสตั้งข้อสงสัยต่อคุณธรรมและจริยธรรมของ "ผู้ใหญ่" บางคน หากมาจากข้อสังเกตของฝ่ายตรงข้ามอาจไม่มีน้ำหนักอะไรนักแต่หากมาจากการกระทำของตัว "ผู้ใหญ่" เอง นั่นแหละคือเหตุปัจจัยในการปั่นทอนและทำให้บังเกิดความเสื่อมตามมา

ความเสื่อมของ "ผู้ใหญ่" จึงเป็นความเสื่อมที่มาจากเหตุปัจจัยภายใน นั่นก็คือ วัตรปฏิบัติของ "ผู้ใหญ่" เองเป็นสำคัญ
ไม่มีใครทำลายความเป็นผู้ใหญ่ของ "ผู้ใหญ่" ได้เท่ากับตัวของ "ผู้ใหญ่เอง"

ความเป็นอนิจจังของสังคมจึงสัมพันธ์กับความเป็นอนิจจังของสรรพสิ่งในสังคม

ความเสื่อมของ "ผู้ใหญ่" ที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ นายธีรยุทธ บุญมี เป็นห่วงจึงไม่ใช่เพราะปัจจัยจากภายนอกหากแต่เริ่มต้นจากปัจจัยภายใน

เป็นความเสื่อมจากภายในโดยมีปัจจัยภายนอกมีส่วนเร่งให้ทรุดเสื่อมเร็วยิ่งขึ้น
แก้ไขล่าสุดโดย wannee เมื่อ 08 พ.ค. 2008, 22:11, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
อีก 20 ปีข้างหน้า คุณอาจจะเสียใจในสิ่งที่ไม่ได้ทำ มากกว่าสิ่งที่ทำไปแล้ว
ภาพประจำตัวสมาชิก
wannee
 
โพสต์: 187
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ธ.ค. 2007, 21:08

Re: เรื่องสภากำหนดให้ต่อไปมีแต่หลักสูตร 6 ปี

โพสต์โดย med_pharm » 09 พ.ค. 2008, 22:06

แนวคิดของสภาฯในเรื่องการมีส่วนร่วมของสมาชิกหายไปไหน

สูญสลายไปพร้อมกับนโยบายอำนาจนิยมของสภาเภสัชกรรมไทยหรือเปล่า

อยากให้สภาเภสัชกรรมชี้แจงหน่อยครับ

อีกอย่างไม่เห็นตัวสถาบันการศึกษา  แสดงความคิดเห็นเป็นอย่างไร

มีแต่ความคิดเห็นส่วนตัวของอาจารย์บางท่าน  ที่นำเสนอในวารสารฟาร์มาไทม์

หรือสถาบันไม่มีความเห็น  แล้วแต่สภาเภสัชฯ หรือเปล่า

อย่างนี้ก็น่าเศร้านะครับ  อนาคตการศึกษาเภสัชกรรมไทย  ตกอยู่ในมือของคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

หรือการศึกษาตามแนวความคิดอำนาจนิยม  คือการศึกษาที่ถูกกำหนดโดยนโยบาย

ใครมีอำนาจก็กำหนดไป  ไม่จำเป็นต้องถามเหตุผล

เพราะนโยบายทางการศึกษา  คือนโยบายไม่ใช่เหตุผล และเป็นนโยบายที่ไม่ใช้เหตุผลหรือเปล่าครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
med_pharm
 
โพสต์: 96
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ธ.ค. 2006, 19:34

Re: เรื่องสภากำหนดให้ต่อไปมีแต่หลักสูตร 6 ปี

โพสต์โดย wannee » 10 พ.ค. 2008, 12:56

ถ้าจะลองวิเคราะห์ในส่วนของสถาบันการศึกษา จะเห็นว่ามีส่วนหนึ่งที่ผู้นำมีลักษณะ active พอสมควร แต่ในสถาบันก็ทำ 6 ปีมาแล้วตั้งแต่คนก่อน คิดว่าสถาบันกลุ่มนี้อาจน้ำท่วมปากกระมัง  ในส่วนของสถาบันที่มีทั้งสองแบบ หรือมีแบบเดียว อาจแยกผู้บริหารคณะฯได้เป็น 3กลุ่ม คือ ผู้ใหญ่ที่แสดงความเห็น ซึ่งบังเอิญกลุ่มผู้ใหญ่ที่แสดงความเห็นนี้เป็นก๊วนเดียวกับนายกสภาฯที่เกื้อหนุนค้ำจุนกันมานาน กลุ่มที่สองคือกลุ่มเด็กที่เป็นเด็กดี และ กลุ่มที่สามคือ กลุ่มกึ่งเด็กกึ่งผู้ใหญ่ที่เงียบสงบ(ด้วยเหตุผลอะไร ไม่สามารถคาดเดาได้)

ถ้าวิเคราะห์คุณลักษณะขององค์ประกอบในกลุ่มสถาบันออกมาได้แบบนี้แล้ว

ก็คงไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไม....ทำไม ...และ ทำไม

คิดไป คิดมา ทำไมถึงคิดโยงไปกับเหตุการณ์เขาพระวิหารนะ
แก้ไขล่าสุดโดย wannee เมื่อ 10 พ.ค. 2008, 12:58, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
อีก 20 ปีข้างหน้า คุณอาจจะเสียใจในสิ่งที่ไม่ได้ทำ มากกว่าสิ่งที่ทำไปแล้ว
ภาพประจำตัวสมาชิก
wannee
 
โพสต์: 187
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ธ.ค. 2007, 21:08

Re: เรื่องสภากำหนดให้ต่อไปมีแต่หลักสูตร 6 ปี

โพสต์โดย หมูน้อย » 10 พ.ค. 2008, 20:34

ผมเคยเข้าร่วมปรับปรุงหลักสูตรเภสัชศาสตรบัณฑิตครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน
เราพยายามจะไม่เพิ่มระยะเวลาการเรียน แต่พยายามปรับปรุงเนื้อหาด้านผู้ป่วยให้มากขึ้น
โดยขอให้สาย product ลดจำนวนหน่วยกิตลง

แต่ทุกท่านรู้ริไม่ มันไม่เป็นผล ไม่มีการลดจำนวนหน่วยกิตใดๆทั้งสิ้น ดังนั้น เนื้อหาด้านผู้ป่วยก็ต้องใช้วิธีเพิ่มเข้าไป

จำได้ว่าครั้งนั้นพอรวมหน่วยกิตทั้งหมดประมาณ 240  กว่าๆ แล้วจะไม่ให้เรียน 6 ปีได้อย่างไร ----> อันนี้คงเป็นส่วนหนึ่งของที่มาของหลักสูตร 6 ปี  ที่หลายๆคนคงคิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นสาเหตุใหญ่

เราพยายามจะเปลี่ยนแปลงโดยให้บัณฑิตมีความรู้ด้านผู้ป่วยมากขึ้น สอดคล้องกับการประกอบวิชาชีพปัจจุบันที่เน้น ร้านยา และ โรงพยาบาล (ผมไม่ได้บอกว่าโรงงานไม่สำคัญ)
แต่มันคงเป็นไปไม่ได้เลยหากวิชาทางด้านสาย product ไม่ยินดีที่จะลดหน่วยกิตด้วยการสอนให้กระชับขึ้น  แล้วจะทำอย่างไรดีหากไม่ยอมให้เป็น  6 ปี
ปัจจุบันต้องยอมรับว่า สาขา product เป็นหน้าตาของวิชาชีพที่ไม่มีใครทดแทนได้ มีเภสัชกรที่มีความสามารถมากมาย
แต่สำหรับสายผู้ป่วยหรือ patient หรือสายโรงพยาบาล ร้านยา เรายังต้องการ การพัฒนาอีกมาก
ต้องยอมรับหากท่านเคยทำงานที่โรงพยาบาล เรามีองค์ความรู้ที่จะทำงานที่โรงพยาบาลค่อนข้างน้อย
เภสัชกร หลายๆคน โดยเฉพาะเภสัชกร part  time ไม่สามารถตอบคำถามหรือแสดงความรู้ ความสามารถของการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านยา ให้แก่แพทย์หรือผู้ประกอบวิชาชีพอื่นๆได้

นานๆเข้าความน่าเชื่อถือของการมีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วยก็ลดลง แล้วจะไปโทษใครที่วิชาชีพอื่นไม่เห็นความสำคัญของเภสัชกร
แก้ไขล่าสุดโดย หมูน้อย เมื่อ 10 พ.ค. 2008, 20:55, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
มุ่งมั่นพัฒนาวิชาชีพเภสัชกรรม
ภาพประจำตัวสมาชิก
หมูน้อย
 
โพสต์: 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 23:52
ที่อยู่: กทม.

Re: เรื่องสภากำหนดให้ต่อไปมีแต่หลักสูตร 6 ปี

โพสต์โดย nitnit » 10 พ.ค. 2008, 21:10

หมูน้อย เขียน:ผมเคยเข้าร่วมปรับปรุงหลักสูตรเภสัชศาสตรบัณฑิตครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน
เราพยายามจะไม่เพิ่มระยะเวลาการเรียน แต่พยายามปรับปรุงเนื้อหาด้านผู้ป่วยให้มากขึ้น
โดยขอให้สาย product ลดจำนวนหน่วยกิตลง

แต่ทุกท่านรู้ริไม่ มันไม่เป็นผล ไม่มีการลดจำนวนหน่วยกิตใดๆทั้งสิ้น ดังนั้น เนื้อหาด้านผู้ป่วยก็ต้องใช้วิธีเพิ่มเข้าไป

จำได้ว่าครั้งนั้นพอรวมหน่วยกิตทั้งหมดประมาณ 240  กว่าๆ แล้วจะไม่ให้เรียน 6 ปีได้อย่างไร ----> อันนี้คงเป็นส่วนหนึ่งของที่มาของหลักสูตร 6 ปี  ที่หลายๆคนคงคิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นสาเหตุใหญ่

เราพยายามจะเปลี่ยนแปลงโดยให้บัณฑิตมีความรู้ด้านผู้ป่วยมากขึ้น สอดคล้องกับการประกอบวิชาชีพปัจจุบันที่เน้น ร้านยา และ โรงพยาบาล (ผมไม่ได้บอกว่าโรงงานไม่สำคัญ)
แต่มันคงเป็นไปไม่ได้เลยหากวิชาทางด้านสาย product ไม่ยินดีที่จะลดหน่วยกิตด้วยการสอนให้กระชับขึ้น  แล้วจะทำอย่างไรดีหากไม่ยอมให้เป็น  6 ปี
ปัจจุบันต้องยอมรับว่า สาขา product เป็นหน้าตาของวิชาชีพที่ไม่มีใครทดแทนได้ มีเภสัชกรที่มีความสามารถมากมาย
แต่สำหรับสายผู้ป่วยหรือ patient หรือสายโรงพยาบาล ร้านยา เรายังต้องการ การพัฒนาอีกมาก
ต้องยอมรับหากท่านเคยทำงานที่โรงพยาบาล เรามีองค์ความรู้ที่จะทำงานที่โรงพยาบาลค่อนข้างน้อย
เภสัชกร หลายๆคน โดยเฉพาะเภสัชกร part  time ไม่สามารถตอบคำถามหรือแสดงความรู้ ความสามารถของการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านยา ให้แก่แพทย์หรือผู้ประกอบวิชาชีพอื่นๆได้

นานๆเข้าความน่าเชื่อถือของการมีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วยก็ลดลง แล้วจะไปโทษใครที่วิชาชีพอื่นไม่เห็นความสำคัญของเภสัชกร

ฟังแล้วก็มีเหตุผลดีนะคับ :t_up: :t_up: :t_up:
nitnit
 
โพสต์: 116
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2007, 11:44

Re: เรื่องสภากำหนดให้ต่อไปมีแต่หลักสูตร 6 ปี

โพสต์โดย zartingtong » 10 พ.ค. 2008, 21:26

เมื่อก่อนนี้คงจำได้แพทย์เรียน 6 ปีแล้วต้อง Intern อีก 1 ปี

แต่แพทย์หดมาเหลือเนื้อๆ 6 ปี

เภสัชต้องเรียนนานๆ ยังไงก็หดไม่ได้ ซักอย่าง
:wink: :lol: :lol:
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
zartingtong
 
โพสต์: 1260
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ส.ค. 2006, 19:14

Re: เรื่องสภากำหนดให้ต่อไปมีแต่หลักสูตร 6 ปี

โพสต์โดย Philosophos » 10 พ.ค. 2008, 21:44

ผมว่าต่อให้เพิ่มเนื้อหาให้มากแค่ไหน เภสัชที่จบมาก็ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่ดี
หากระบบการเรียนการสอนมันยังเหมือนเดิมอยู่อย่างนี้ คือไม่มีการปฏิบัติงานจริงควบคู่กับการเรียนเช่นแพทย์

หลักสูตร 5 ปี ถ้ามีระบบการเรียนและฝึกงานที่ดี ผมว่ายังไงก็เพียงพอ
งานสายคลินิกบอกได้เลยว่าการเรียนเพียงแค่ lecture ในชั้นเรียนไม่เพียงพอ แม้จะเพิ่มเป็น 6 ปีก็ตาม
ต้องให้ฝึกปฏิบัติงานจริง แล้วนำปัญหาที่ได้มาอภิปรายในชั้นเรียน
ถามว่า ณ ขณะนี้เรามีแหล่งฝึกงานที่ดีเพียงพอแล้วหรือที่จะมุ่งเน้นด้านคลินิก
แล้วด้านอื่นๆหละ จะละทิ้งไปเช่นนั้นหรือ คุณก็รู้อยู่ว่าสภาพสังคมเราไม่เหมือนอเมริกา จะไปเอาของเขามาปรับใช้เลยเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง

การที่เภสัชกรหลายคนไม่สามารถแสดงความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านยาได้ก็เพราะไม่ใส่ใจและมีแรงจูงใจต่างหาก
สิ่งที่ควรทำให้มีคือการกระตุ้นให้เภสัชมีความกระตือรือล้นในการทบทวนความรู้และหาความรู้ใหม่อยู่เสมอ
ผมเรียนจบสายวิจัยมา แต่ทักษะทางคลินิกของผมไม่ได้ด้อยไปกว่าคนที่เรียนสายคลินิกโดยตรงเลย
บางคนเรียนสายคลินิกมาแท้ๆ แต่ Clinical decision-making กลับไม่มีเลยก็เยอะ

หลายคนเองเรียนสายคลินิกหรือฟาร์มดีมา แต่ไม่สามารถตอบปัญหาในแง่ Pharm Sci ได้ก็มีให้เห็นเยอะไป
ทั้งๆที่ก็เป็นเรื่องที่ถูกถามบ่อยและเป็นจุดเด่นของเราที่บุคลากรการแพทย์อื่นๆ ไม่ได้เรียนมา แล้วเค้าต้องการความช่วยเหลือตรงนี้

ผมว่าควรปรับปรุงทักษะเชิงบูรณาการจะดีกว่าการเพิ่มเวลาเรียนเสียอีก
การเรียนรู้จากการปฏิบัติงานจริง ผมว่ามันให้สัมฤทธิผลมากกว่าการนั่งเรียนในห้องเรียนและมาดูงานระยะสั้นๆเสียอีก

อ่านแล้วอาจจะงงๆกัน แต่เอาหละไหนๆก็เพิ่มเป็น 6 ปีไปแล้ว ก็หวังว่าหลักสูตรนี้จะทำให้เภสัชกรมีหน้ามีตาขึ้นในสังคมละกัน
"ชนใดไม่มีดนตรีกาล ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก"
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Philosophos
 
โพสต์: 55
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2004, 19:01

Re: เรื่องสภากำหนดให้ต่อไปมีแต่หลักสูตร 6 ปี

โพสต์โดย wannee » 10 พ.ค. 2008, 22:24

หมูน้อย เขียน:ผมเคยเข้าร่วมปรับปรุงหลักสูตรเภสัชศาสตรบัณฑิตครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน
เราพยายามจะไม่เพิ่มระยะเวลาการเรียน แต่พยายามปรับปรุงเนื้อหาด้านผู้ป่วยให้มากขึ้น
โดยขอให้สาย product ลดจำนวนหน่วยกิตลง

แต่ทุกท่านรู้ริไม่ มันไม่เป็นผล ไม่มีการลดจำนวนหน่วยกิตใดๆทั้งสิ้น ดังนั้น เนื้อหาด้านผู้ป่วยก็ต้องใช้วิธีเพิ่มเข้าไป

จำได้ว่าครั้งนั้นพอรวมหน่วยกิตทั้งหมดประมาณ 240  กว่าๆ แล้วจะไม่ให้เรียน 6 ปีได้อย่างไร ----> อันนี้คงเป็นส่วนหนึ่งของที่มาของหลักสูตร 6 ปี  ที่หลายๆคนคงคิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นสาเหตุใหญ่

เราพยายามจะเปลี่ยนแปลงโดยให้บัณฑิตมีความรู้ด้านผู้ป่วยมากขึ้น สอดคล้องกับการประกอบวิชาชีพปัจจุบันที่เน้น ร้านยา และ โรงพยาบาล (ผมไม่ได้บอกว่าโรงงานไม่สำคัญ)
แต่มันคงเป็นไปไม่ได้เลยหากวิชาทางด้านสาย product ไม่ยินดีที่จะลดหน่วยกิตด้วยการสอนให้กระชับขึ้น  แล้วจะทำอย่างไรดีหากไม่ยอมให้เป็น  6 ปี
ปัจจุบันต้องยอมรับว่า สาขา product เป็นหน้าตาของวิชาชีพที่ไม่มีใครทดแทนได้ มีเภสัชกรที่มีความสามารถมากมาย
แต่สำหรับสายผู้ป่วยหรือ patient หรือสายโรงพยาบาล ร้านยา เรายังต้องการ การพัฒนาอีกมาก
ต้องยอมรับหากท่านเคยทำงานที่โรงพยาบาล เรามีองค์ความรู้ที่จะทำงานที่โรงพยาบาลค่อนข้างน้อย
เภสัชกร หลายๆคน โดยเฉพาะเภสัชกร part  time ไม่สามารถตอบคำถามหรือแสดงความรู้ ความสามารถของการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านยา ให้แก่แพทย์หรือผู้ประกอบวิชาชีพอื่นๆได้

นานๆเข้าความน่าเชื่อถือของการมีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วยก็ลดลง แล้วจะไปโทษใครที่วิชาชีพอื่นไม่เห็นความสำคัญของเภสัชกร


จุดอ่อนของคนเป็นอาจารย์คือ ความรู้เยอะ....
เนื้อหาอะไรๆก้ต้องรู้ เน้นค่ะ ว่า ...ต้องรู้...
ทำให้นักเรียนต้องเรียนเยอะไปหมด จนไม่มีเวลาคิด ตรงนี้ไม่ได้ผิดไปจากที่นากยสภาฯพูด เพียงแต่อย่าทำหรืออย่าสร้างภาพจนดูเหมือนว่าการเพิ่มเป็น 6 ปีเป็นยาวิเศษแก้ได้ทุกปัญหา (ตรงนี้ไม่อยากพูดถึงแล้ว เพราะเป็นเหตุผลข้อแรกของสภาฯในการปรับหลักสูตร และเป็นเหตุผลที่อยากจะขอใช้คำไม่สุภาพว่า เป็นเหตุผลที่แสดงถึงระดับปัญญาของคนคิดได้อย่างชัดเจนว่ามีน้อยแค่ไหน..ปกติไม่ชอบว่าใครแบบนี้ เพราะมันเป็นการดูถูกเค้า แต่งานนี้ขอหน่อยเถอะ ไม่ไหวจริงๆ..ไม่ได้ว่าคุณหมูน้อยนะคะตรงนี้ อย่าเข้าใจผิด)

การพัฒนาหลักสูตรที่ดีต้องให้ผู้ปฏิบัติเข้ามามีส่วนร่วมค่ะ
จะช่วยเราคิดได้มากขึ้นว่า อะไรคือสิ่งที่ต้องรู้

ประกอบกับอาจารย์ practice น้อยด้วย จึงยิ่งจำเป็นต้องมีผู้ปฏิบัติเข้ามามีส่วนร่วม

เรื่องการปฏิบัติของอาจารย์ ก็ใช่ว่าจะเป็นตัวแก้ปัญหาเสมอไป อาจเป็นตัวก่อปัญหาก็ได้ หากลองนึกถึงการผลิตแพทย์ที่ระดับเริ่มต้นที่ต้องรับมือกับคนไข้ด้วยโรคหรือความเจ็บป่วยทั่วไป แต่อาจารย์แพทย์ในโรงเรียนแพทย์ที่ส่วนใหญ่จะเป็น แพทย์เฉพาะทาง แล้วอยู่ในโรงเรียนแพทย์ ก็เจอแต่เคสหินๆ ยากๆ การสอนนักศึกษาแพทย์ในบางครั้งก็เลยออกจะหรูหราไปนิด อาจารย์แพทย์จึงต้องออกตรวจทั่วไปบ้าง ออกตรวจตามหน่วยแพทย์เคลื่อนที่บ้าง นักศึกษาแพทย์ก็ต้องไปรพ.อื่นบ้าง เพื่อให้เจอเคสที่เป็นส่วนใหญ่ของประเทศ

อันนี้เราก็ต้องคิดเหมือนกันนะคะ เช่น ความต้องการเภสัชกรในรพ.ต่างระดับกันนั้น มันเหมือนหรือต่างกันอย่างไร

อีกอย่างที่สังเกต ซึ่งอาจไม่ได้เป็นกันทุกคนก็ได้คือ ความเป็นบูรณาการในตัวอาจารย์ ยิ่งอาจารย์ลงลึกในเรื่องของตัวเองมากขึ้นเท่าไร การมองหลักสูตรในภาพรวมจะยิ่งยากขึ้นเท่านั้น เพราะความรู้รวมถึงทักษะพื้นฐานบางอย่างมันจางไป พอไปนั่งทำหลักสูตรกัน มันก็เลยทะแม่งๆ

วัฒนธรรมการทำงานของอาจารย์ก็มีส่วนเป็นอุปสรรค บางครั้งก็เป็นอะไรที่แตะไม่ได้ หรือแตะได้ยากมากๆ มีความเป็นเจ้าของเข้ามาเยอะ จะตัดอะไรสักอย่างน่ะยากมากๆ ก็เลยแก้ปัญาหโดยการเพิ่มเวลาเรียน น่าจะง่ายกว่า

แต่ใช่ว่าจะทำไม่ได้นะคะ มีตัวอย่างให้เห็นที่คณะแพทย์ศิริราชที่เค้าเพิ่งปรับปรุงหลักสูตร แล้วตัดหน่วยกิตไปได้ถึง 14 นก. (ถ้าจำไม่ผิด แต่เป็นหลักสิบแน่นอน) ไม่งั้นเค้าคงต้องเพิ่มเวลาเรียนเป็น 7 ปีในอนาคต

การแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มระยะเวลาเป็น 6 ปี ดูเหมือนจะดี เพราะน่าจะลดปัญหาที่คุยกันไม่ลงตัวได้ โปรดสังเกตว่าเป็นความไม่ลงตัวของใครบ้างด้วย แล้วจะเกิดปัญหาตามมาที่ใครหรือเปล่า ตรงนี้คนเป็นอาจารย์ได้คิดหรือไม่ โอเค อาจารย์ที่ต้องรับหน้าเสื่อในการทำหลักสูตร อาจรู้สึกว่าแก้ปัญหาเรื่องความไม่ลงตัวได้ไปเปลาะหนึ่ง แต่...คิดให้ดีปัญหาเปลาะอื่นๆจะตามมา เพียงแต่มันไปเกิดที่คนอื่น เกิดที่นักศึกษาและสังคมค่ะ

หากสงสัยว่าเกิดอย่างไร ลองอ่านย้อนไปเรื่อยๆถึงเหตุผลที่มีการคัดค้านกันน่ะค่ะ อีกอย่างอย่าลืมว่า สิ่งที่ออกมาคุยนั้น ไม่ได้ค้าน 6 ปีสำหรับการทำสายบริบาลที่เป็น patient center จริงๆ โดยเห็นว่าการเพิ่มอีก 1 ปีนั้น ควรเพิ่มที่การฝึกงาน ซึ่งถ้าจะลองคิดเล่นๆว่า ให้เรียน 5 ปีได้ภบ. สามารถสอบใบประกอบได้ อีก 1 ปีก็เพิ่มเป็นเภสัชกรเฉพาะทางระดับต้น แล้วจากนั้นถ้าจะต่อเพื่อให้ด้วุฒิบัตร ก็จะเป็นเภสัชกรเฉพาะทางระดับสูง หรือระดับอะไรก็แล้วแต่หากเรามีการมองกันตั้งแต่ต้นจนจบออกว่าควรมีกี่ระดับ

อย่างไรก็ตาม นั่นแสดงถึงว่าเราไม่ได้ค้านการที่ต้องฝึกปฏิบัติเพิ่มสำหรับสายผู้ป่วย

เพียงแต่เรากำลังเสนอว่า
จังหวะนี้เป็นจังหวะดี ที่จะได้มาคุยกันให้เห็นทั้งหมด และการคุยกันนี้ไม่ใช่คุยกันเฉพาะอาจารย์ ต้องมีทั้งเภสัชกรและผู้ใช้เภสัชกร ถ้าให้ดีรวมถึงวิชาชีพอื่นที่เกี่ยวข้องกับเรา และคนไข้ด้วย

นอกจากนั้นแล้ว ยังต้องคิดด้วยว่า
ความสามารถระดับเภสัชกรปริญญาตรีควรเป็นอย่างไร ระดับวุฒิบัตร หรือระดับอื่นๆที่น่าจะเป็นการศึกษาต่อเนื่องควรเป็นอย่างไร นั่นหมายถึงว่า ต้องตีโจทย์ให้แตกถึงบทบาทเภสัชกรออกมาให้ได้ก่อน

คุย คิด ทบทวน แล้วจัดให้เห็นทั้งระบบ และต้องเป็นระบบที่ไปกับบริบทของสังคมไทย[/[/b]color]
ทั้งนี้ทั้งนั้น
ถ้าสังเกตจากวัฒนธรรมของผู้ใหญ่ในวิชาชีพเราแล้ว ยังต้องบอกด้วยว่า คุยอย่างเดียวไม่พอ คุยแล้วต้องเปิดใจด้วย [color=blue]การเปิดใจจะเป็นกุญแจสำคัญของการพัฒนาวิชาชีพในขณะนี้
ไม่ได้แย้งอะไรกับคุณหมูน้อยทั้งสิ้น แถมยังเห็นใจและเข้าใจสถานการณ์เวลาคุยกันเรื่องหลักสูตรด้วย
แต่....
อย่างไรก็ตาม ขอพูดตรงๆว่ายังไม่เห็นด้วยกับการแก้ปัญหาแบบนี้ค่ะ

ถ้าจะเขียนต่ออีกนิดนึงก็อยากจะเขียนว่า

พวกเราทุกคนก็รักวิชาชีพทั้งนั้น แล้ววิชาชีพก็ไม่ใช่ของเราคนเดียว (ตามที่นายกสภาฯพูดไว้ แต่ทำอีกอย่าง) หากเรารักวิชาชีพจริง การปล่อยให้คนแค่กลุ่มหนึ่งซึ่ง(ดูเหมือนว่า)มีปัญญามากพอมาจัดการเปลี่ยนแปลงและสั่งการแบบนี้นั้น อนาคตวิชาชีพจะเป็นอย่างไร

หากสังคมโดยเฉพาะคนเป็นอาจารย์ ยังนิยมและยอมรับ นั่นแสดงถึงว่าเราเป็นอย่างนั้นด้วย ถ้าเราเป็นอย่างนั้น เราจะสอนนักศึกษาด้วยวิธีการอย่างนั้น แล้วจากนั้น...เราก็พอมมองออกใช่ไหมว่านักศึกษาเราจะเป็นอย่างไร

ใครเคยเขียนไว้เป็นทำนองว่า จะดูว่าคนในสังคมเป็นอย่างไร ก็ให้ดูจาก สส.ที่ถูกเลือกเข้าสภาฯ .....
แก้ไขล่าสุดโดย wannee เมื่อ 10 พ.ค. 2008, 22:31, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
อีก 20 ปีข้างหน้า คุณอาจจะเสียใจในสิ่งที่ไม่ได้ทำ มากกว่าสิ่งที่ทำไปแล้ว
ภาพประจำตัวสมาชิก
wannee
 
โพสต์: 187
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ธ.ค. 2007, 21:08

Re: เรื่องสภากำหนดให้ต่อไปมีแต่หลักสูตร 6 ปี

โพสต์โดย wannee » 10 พ.ค. 2008, 22:33

Philosophos เขียน:ผมว่าต่อให้เพิ่มเนื้อหาให้มากแค่ไหน เภสัชที่จบมาก็ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่ดี
หากระบบการเรียนการสอนมันยังเหมือนเดิมอยู่อย่างนี้ คือไม่มีการปฏิบัติงานจริงควบคู่กับการเรียนเช่นแพทย์

หลักสูตร 5 ปี ถ้ามีระบบการเรียนและฝึกงานที่ดี ผมว่ายังไงก็เพียงพอ
งานสายคลินิกบอกได้เลยว่าการเรียนเพียงแค่ lecture ในชั้นเรียนไม่เพียงพอ แม้จะเพิ่มเป็น 6 ปีก็ตาม
ต้องให้ฝึกปฏิบัติงานจริง แล้วนำปัญหาที่ได้มาอภิปรายในชั้นเรียน
ถามว่า ณ ขณะนี้เรามีแหล่งฝึกงานที่ดีเพียงพอแล้วหรือที่จะมุ่งเน้นด้านคลินิก
แล้วด้านอื่นๆหละ จะละทิ้งไปเช่นนั้นหรือ คุณก็รู้อยู่ว่าสภาพสังคมเราไม่เหมือนอเมริกา จะไปเอาของเขามาปรับใช้เลยเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง

การที่เภสัชกรหลายคนไม่สามารถแสดงความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านยาได้ก็เพราะไม่ใส่ใจและมีแรงจูงใจต่างหาก
สิ่งที่ควรทำให้มีคือการกระตุ้นให้เภสัชมีความกระตือรือล้นในการทบทวนความรู้และหาความรู้ใหม่อยู่เสมอ
ผมเรียนจบสายวิจัยมา แต่ทักษะทางคลินิกของผมไม่ได้ด้อยไปกว่าคนที่เรียนสายคลินิกโดยตรงเลย
บางคนเรียนสายคลินิกมาแท้ๆ แต่ Clinical decision-making กลับไม่มีเลยก็เยอะ

หลายคนเองเรียนสายคลินิกหรือฟาร์มดีมา แต่ไม่สามารถตอบปัญหาในแง่ Pharm Sci ได้ก็มีให้เห็นเยอะไป
ทั้งๆที่ก็เป็นเรื่องที่ถูกถามบ่อยและเป็นจุดเด่นของเราที่บุคลากรการแพทย์อื่นๆ ไม่ได้เรียนมา แล้วเค้าต้องการความช่วยเหลือตรงนี้

ผมว่าควรปรับปรุงทักษะเชิงบูรณาการจะดีกว่าการเพิ่มเวลาเรียนเสียอีก
การเรียนรู้จากการปฏิบัติงานจริง ผมว่ามันให้สัมฤทธิผลมากกว่าการนั่งเรียนในห้องเรียนและมาดูงานระยะสั้นๆเสียอีก

อ่านแล้วอาจจะงงๆกัน แต่เอาหละไหนๆก็เพิ่มเป็น 6 ปีไปแล้ว ก็หวังว่าหลักสูตรนี้จะทำให้เภสัชกรมีหน้ามีตาขึ้นในสังคมละกัน



ขออนุญาตเอาเนื้อหานี้ไปส่งต่อให้อาจารย์ทั้งคณะฯได้อ่านหน่อยนะคะ
อีก 20 ปีข้างหน้า คุณอาจจะเสียใจในสิ่งที่ไม่ได้ทำ มากกว่าสิ่งที่ทำไปแล้ว
ภาพประจำตัวสมาชิก
wannee
 
โพสต์: 187
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ธ.ค. 2007, 21:08

Re: เรื่องสภากำหนดให้ต่อไปมีแต่หลักสูตร 6 ปี

โพสต์โดย wannee » 10 พ.ค. 2008, 22:41

ขออนุญาต respond อีกนิดเดียวค่ะ

อยากจะบอกว่า
....ผู้นำ...
สำคัญมากค่ะ

แต่
...ผู้ตาม...
ก็สำคัญเช่นเดียวกัน

ขึ้นกับสถานการณ์


มีอีกเรื่องที่สำคัญและพึงระวังความคิด

ระวังการแบ่งแยกสาย Product / Patient ตรงนี้สำคัญมาก

ที่พูดตรงนี้ขึ้นมา เพราะเป็นห่วงในอนาคต จะมีเรื่องความขัดแย้งระหว่างสาย
แก้ไขล่าสุดโดย wannee เมื่อ 10 พ.ค. 2008, 22:47, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
อีก 20 ปีข้างหน้า คุณอาจจะเสียใจในสิ่งที่ไม่ได้ทำ มากกว่าสิ่งที่ทำไปแล้ว
ภาพประจำตัวสมาชิก
wannee
 
โพสต์: 187
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ธ.ค. 2007, 21:08

Re: เรื่องสภากำหนดให้ต่อไปมีแต่หลักสูตร 6 ปี

โพสต์โดย zartingtong » 11 พ.ค. 2008, 14:09

[img]http://อ่านแล้วอาจจะงงๆกัน%20แต่เอาหละไหนๆก็เพิ่มเป็น%206%20ปีไปแล้ว%20ก็หวังว่าหลักสูตรนี้จะทำให้เภสัชกรมีหน้ามีตาขึ้นในสังคมละกัน[/img]

หน้าตามีอยู่แล้วไม่งั้นก็เดินไม่ได้สิ หุหุมีหน้าเพิ่มขึ้น เรียน 6 ปีจะได้เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลมั๊ยล่ะ หรือจะเป็นปลัดกระทรวงฯดี? เมื่อไหร่ Pharm D ทำได้จะยกมือสนับสนุนให้เรียน 6 ปีทั้งหมดเลย

มีน้อยๆอยู่แล้วยังจะชวนให้แตกแยกไปอีก กลายเป็นกระจอกหนัก
:lol: :lol: :lol:
แก้ไขล่าสุดโดย zartingtong เมื่อ 11 พ.ค. 2008, 14:13, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
zartingtong
 
โพสต์: 1260
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ส.ค. 2006, 19:14

Re: เรื่องสภากำหนดให้ต่อไปมีแต่หลักสูตร 6 ปี

โพสต์โดย wannee » 11 พ.ค. 2008, 20:54

เมื่อครั้งหนึ่งในชีวิต ถูกผู้ใหญ่ในวิชาชีพ..แหกตา..แล้ว..หักหลัง :spless: :spless: :huh: :huh:

เป็นประสบการณ์ที่ไม่น่าจดจำที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิต

ถ้าไม่ใช่เรื่องจริงก็คงจะดี

แต่....

ก็ต้องยอมรับว่า

มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆคร้าบพ่อแม่พี่น้อง
อีก 20 ปีข้างหน้า คุณอาจจะเสียใจในสิ่งที่ไม่ได้ทำ มากกว่าสิ่งที่ทำไปแล้ว
ภาพประจำตัวสมาชิก
wannee
 
โพสต์: 187
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ธ.ค. 2007, 21:08

Re: เรื่องสภากำหนดให้ต่อไปมีแต่หลักสูตร 6 ปี

โพสต์โดย zartingtong » 11 พ.ค. 2008, 23:43

ตอนนี้เภสัชรุ่นเดียวกันกับกรรมการหลายคนเริ่มเป็นคลื่นใต้น้ำที่ยกตัวขึ้นด่าทอกันอึงมี่
ขนาดไม่กล้าไปพบหน้าเพื่อนฝูงแล้ว ระวังจะเอาปี๊บคลุมหัวเดินเป็นหน้าเป็นตา
:wink: :lol: :lol: :lol:
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
zartingtong
 
โพสต์: 1260
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ส.ค. 2006, 19:14

Re: เรื่องสภากำหนดให้ต่อไปมีแต่หลักสูตร 6 ปี

โพสต์โดย wannee » 12 พ.ค. 2008, 00:31

wannee เขียน:เมื่อครั้งหนึ่งในชีวิต ถูกผู้ใหญ่ในวิชาชีพ..แหกตา..แล้ว..หักหลัง :spless: :spless: :huh: :huh:

เป็นประสบการณ์ที่ไม่น่าจดจำที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิต

ถ้าไม่ใช่เรื่องจริงก็คงจะดี

แต่....

ก็ต้องยอมรับว่า

มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆคร้าบพ่อแม่พี่น้อง




อ่านที่ตัวเองเขียน แล้วมาอ่านบทความของอาจารย์นิธิเรื่องการเมืองสุดโต่ง

http://www.matichon.co.th/matichon/mati ... ionid=0130

แล้ว รู้สึกว่า อาจารย์นิธินี่ท่านช่างเป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิดเชิงสร้างสรรค์มากๆเลย ไม่เหมือนเราที่ตอนนี้กำลัง..ยัวะ...  :evil: :twisted: อยากกัดคน....

ลองเข้าไปอ่านดูนะคะ
มันสะท้อนบางอย่างถ้าย่อส่วนมาพิจารณาในสังคมวิชาชีพ ส่วนที่น่าอ่านมากๆคือ 3 ย่อหน้าสุดท้าย
อีก 20 ปีข้างหน้า คุณอาจจะเสียใจในสิ่งที่ไม่ได้ทำ มากกว่าสิ่งที่ทำไปแล้ว
ภาพประจำตัวสมาชิก
wannee
 
โพสต์: 187
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ธ.ค. 2007, 21:08

ย้อนกลับต่อไป

ย้อนกลับไปยัง สายตรงถึงสภาเภสัชกรรม

ผู้ใช้งานขณะนี้

New Document