ผู้ป่วยวัณโรคระยะแพร่เชื้อ 1 ราย ถ้าไม่ได้รับการรักษา สามารถ
โพสต์แล้ว: 29 พ.ย. 2016, 19:40
ผู้ป่วยวัณโรคระยะแพร่เชื้อ 1 ราย ถ้าไม่ได้รับการรักษา สามารถทำให้คนรอบข้างติดเชื้อได้ 10 -15 คนต่อปี และ 17% ของผู้ป่วยวัณโรคมีการติดเชื้อเอชไอวีร่วมด้วย
วัณโรค (Tuberculosis หรือ TB) เป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย “มัยโคแบคทีเรียม ทูเบอร์คูโลซิส” (Mycobacterium Tuberculosis) ที่มีขนาดเล็กมาก มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ทำให้มีการอักเสบในปอด หรือในอวัยวะอื่นร่วมด้วย เช่น ต่อมน้ำเหลือง เยื่อหุ้มสมอง กระดูก
วัณโรคสามารถเป็นได้กับอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย แต่ที่พบบ่อยและเป็นปัญหามากในปัจจุบัน คือ วัณโรคปอด
• ปัจจัยสำคัญต่อการป่วยเป็นวัณโรค
- อยู่ร่วมกับผู้ป่วยวัณโรค เช่น พักอาศัยบ้านเดียวกัน ทำงานร่วมกัน
- ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี หรือป่วยเป็นโรคเอดส์
- ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน โรคตับ หรือโรคไต
- ผู้ป่วยที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกันนานๆ เช่น ยากลุ่มสเตรียรอยด์
- การจัดลักษณะที่อยู่อาศัยหรือที่ทำงานที่ใช้เครื่องปรับอากาศตลอดเวลา หรือสภาพแวดล้อมที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก
- การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา และการเสพสารเสพติด
• อาการ
- ไอติดต่อกันเกิน 2 สัปดาห์
- ไอแห้งๆ หรือไอมีเสมหะ หรือไอมีเสมหะปนเลือด
- เจ็บหน้าอก เหนื่อยหอบ
- มีไข้ต่ำๆ ตอนบ่ายหรือค่ำ
- เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลีย
• ควรปฏิบัติตัวอย่างไรขณะป่วยและรักษา
- ใช้ผ้าผิดปากและจมูก เวลาไอหรือจามเพื่อป้องกันมิให้เชื้อแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่น
- กินยาตามชนิดและขนาดที่แพทย์สั่งอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ และพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง จนกว่าแพทย์สั่งหยุดยา
- เมื่อกินยาประมาณ 2 สัปดาห์ อาการจะดีขึ้นห้ามหยุดยาเป็นอันขาด จะทำให้เชื้อโรคดื้อยาและรักษาหายยาก
- กินอาหารได้ทุกชนิดที่มีประโยชน์ และพักผ่อนให้เพียงพอ
- จัดสถานที่พักอาศัยให้อากาศถ่ายเทสะดวก แสงแดดส่องถึง
- ควรงดเหล้า บุหรี่ และสิ่งเสพติดทุกชนิด
- ควรนำผู้สัมผัสโรคร่วมบ้าน หรือผู้ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโดยเฉพาะเด็กไปรับการตรวจร่างกายตามโรงพยาบาลหรือสถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้านทุกแห่ง
- บ้วนเสมหะลงในภาชนะหรือกระป๋อง แล้วเทลงในส้วม ฝังดิน หรือนำไปเผา
• อาการที่อาจพบจากการกินยารักษา
- คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศีรษะ
- เบื่ออาหาร เหนื่อยหอบ
- ตับอักเสบ(ตัวเหลือง ตาเหลือง)
- ผื่นคันตามตัว
- ปวดข้อ
- อาการตามัว
• เมื่อไรควรตรวจหาวัณโรค
- ไอติดต่อกันเกิน 2 สัปดาห์
- มีไข้ต่ำตอนบ่ายๆ หรือค่ำ
- เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลีย
- เจ็บหน้าอก เหนื่อย หอบ
- เมื่อมีญาติหรือผู้ใกล้ชิดป่วยเป็นวัณโรคปอด
- ตรวจสุขภาพประจำปี กรณีไม่มีอาการ แต่ถ้าภาวะภูมิต้านทานต่ำ เช่น เป็นโรคเบาหวาน ติดสารเสพติดหรือติดเชื้อเอดส์ ควรตรวจทุก 3-6 เดือน
- เพื่อใช้ประกอบการขอใบรับรองแพทย์
• ควรปฏิบัติตัวอย่างไรไม่ให้เป็นวัณโรค
- ควรตรวจเช็คร่างกาย โดยการเอ็กซเรย์ปอดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
- นำเด็กแรกเกิดไปรับการฉีดวัคซีนบีซีจี ที่โรงพยาบาลทุกแห่ง หรือสถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน
- หากมีอาการสงสัยป่วยเป็นวัณโรค ควรรีบไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลของรัฐทุกแห่ง หรือสถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน
- รักษาสุขภาพให้แข็งแรงโดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และกินอาหารที่มีประโยชน์
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์ ซึ่งจะทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายเสื่อมลง มีโอกาสป่วยเป็นวัณโรคได้ง่ายขึ้น
• วัณโรครักษาหายได้
ปัจจุบันมียารักษาวัณโรคหลายชนิดที่ให้ผลดี การรักษาจะได้ผลดีต่อเมื่อผู้ป่วยเข้ารับการรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรก รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ ใช้เวลาเพียง 6-8 เดือนเท่านั้น รวมทั้งพักผ่อนให้เพียงพอ และรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูงและมีวิตามิน เพื่อช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรค
หากผู้ป่วยวัณโรคไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ขาดยา หรือกินยาไม่ต่อเนื่อง จะทำให้เชื้อวัณโรคดื้อยา ยากต่อการรักษา และอาจแพร่เชื้อวัณโรคดื้อยาสู่ผู้อื่น
(ข้อมูลจากสำนักวัณโรค กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข)
• วัณโรคกับเอดส์มีความสัมพันธ์กันอย่างไร
- การติดเชื้อเอดส์ ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง โอกาสป่วยเป็นวัณโรคได้อย่างรวดเร็วและรุนแรงมากกว่า ผู้ที่ไม่ติดเชื้อเอดส์
- วัณโรคเป็นโรคติดเชื้อฉวยโอกาสที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งในผู้ป่วยเอดส์
- ผู้ติดเชื้อเอดส์ ที่ป่วยเป็นวัณโรคมีสถิติการเสียชีวิตมากกว่าผู้ติดเชื้อเอดส์ที่ไม่ป่วยเป็นวัณโรค
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 186 พฤษภาคม 2559 โดย กองบรรณาธิการ)
วัณโรค (Tuberculosis หรือ TB) เป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย “มัยโคแบคทีเรียม ทูเบอร์คูโลซิส” (Mycobacterium Tuberculosis) ที่มีขนาดเล็กมาก มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ทำให้มีการอักเสบในปอด หรือในอวัยวะอื่นร่วมด้วย เช่น ต่อมน้ำเหลือง เยื่อหุ้มสมอง กระดูก
วัณโรคสามารถเป็นได้กับอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย แต่ที่พบบ่อยและเป็นปัญหามากในปัจจุบัน คือ วัณโรคปอด
• ปัจจัยสำคัญต่อการป่วยเป็นวัณโรค
- อยู่ร่วมกับผู้ป่วยวัณโรค เช่น พักอาศัยบ้านเดียวกัน ทำงานร่วมกัน
- ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี หรือป่วยเป็นโรคเอดส์
- ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน โรคตับ หรือโรคไต
- ผู้ป่วยที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกันนานๆ เช่น ยากลุ่มสเตรียรอยด์
- การจัดลักษณะที่อยู่อาศัยหรือที่ทำงานที่ใช้เครื่องปรับอากาศตลอดเวลา หรือสภาพแวดล้อมที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก
- การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา และการเสพสารเสพติด
• อาการ
- ไอติดต่อกันเกิน 2 สัปดาห์
- ไอแห้งๆ หรือไอมีเสมหะ หรือไอมีเสมหะปนเลือด
- เจ็บหน้าอก เหนื่อยหอบ
- มีไข้ต่ำๆ ตอนบ่ายหรือค่ำ
- เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลีย
• ควรปฏิบัติตัวอย่างไรขณะป่วยและรักษา
- ใช้ผ้าผิดปากและจมูก เวลาไอหรือจามเพื่อป้องกันมิให้เชื้อแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่น
- กินยาตามชนิดและขนาดที่แพทย์สั่งอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ และพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง จนกว่าแพทย์สั่งหยุดยา
- เมื่อกินยาประมาณ 2 สัปดาห์ อาการจะดีขึ้นห้ามหยุดยาเป็นอันขาด จะทำให้เชื้อโรคดื้อยาและรักษาหายยาก
- กินอาหารได้ทุกชนิดที่มีประโยชน์ และพักผ่อนให้เพียงพอ
- จัดสถานที่พักอาศัยให้อากาศถ่ายเทสะดวก แสงแดดส่องถึง
- ควรงดเหล้า บุหรี่ และสิ่งเสพติดทุกชนิด
- ควรนำผู้สัมผัสโรคร่วมบ้าน หรือผู้ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโดยเฉพาะเด็กไปรับการตรวจร่างกายตามโรงพยาบาลหรือสถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้านทุกแห่ง
- บ้วนเสมหะลงในภาชนะหรือกระป๋อง แล้วเทลงในส้วม ฝังดิน หรือนำไปเผา
• อาการที่อาจพบจากการกินยารักษา
- คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศีรษะ
- เบื่ออาหาร เหนื่อยหอบ
- ตับอักเสบ(ตัวเหลือง ตาเหลือง)
- ผื่นคันตามตัว
- ปวดข้อ
- อาการตามัว
• เมื่อไรควรตรวจหาวัณโรค
- ไอติดต่อกันเกิน 2 สัปดาห์
- มีไข้ต่ำตอนบ่ายๆ หรือค่ำ
- เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลีย
- เจ็บหน้าอก เหนื่อย หอบ
- เมื่อมีญาติหรือผู้ใกล้ชิดป่วยเป็นวัณโรคปอด
- ตรวจสุขภาพประจำปี กรณีไม่มีอาการ แต่ถ้าภาวะภูมิต้านทานต่ำ เช่น เป็นโรคเบาหวาน ติดสารเสพติดหรือติดเชื้อเอดส์ ควรตรวจทุก 3-6 เดือน
- เพื่อใช้ประกอบการขอใบรับรองแพทย์
• ควรปฏิบัติตัวอย่างไรไม่ให้เป็นวัณโรค
- ควรตรวจเช็คร่างกาย โดยการเอ็กซเรย์ปอดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
- นำเด็กแรกเกิดไปรับการฉีดวัคซีนบีซีจี ที่โรงพยาบาลทุกแห่ง หรือสถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน
- หากมีอาการสงสัยป่วยเป็นวัณโรค ควรรีบไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลของรัฐทุกแห่ง หรือสถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน
- รักษาสุขภาพให้แข็งแรงโดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และกินอาหารที่มีประโยชน์
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์ ซึ่งจะทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายเสื่อมลง มีโอกาสป่วยเป็นวัณโรคได้ง่ายขึ้น
• วัณโรครักษาหายได้
ปัจจุบันมียารักษาวัณโรคหลายชนิดที่ให้ผลดี การรักษาจะได้ผลดีต่อเมื่อผู้ป่วยเข้ารับการรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรก รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ ใช้เวลาเพียง 6-8 เดือนเท่านั้น รวมทั้งพักผ่อนให้เพียงพอ และรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูงและมีวิตามิน เพื่อช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรค
หากผู้ป่วยวัณโรคไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ขาดยา หรือกินยาไม่ต่อเนื่อง จะทำให้เชื้อวัณโรคดื้อยา ยากต่อการรักษา และอาจแพร่เชื้อวัณโรคดื้อยาสู่ผู้อื่น
(ข้อมูลจากสำนักวัณโรค กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข)
• วัณโรคกับเอดส์มีความสัมพันธ์กันอย่างไร
- การติดเชื้อเอดส์ ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง โอกาสป่วยเป็นวัณโรคได้อย่างรวดเร็วและรุนแรงมากกว่า ผู้ที่ไม่ติดเชื้อเอดส์
- วัณโรคเป็นโรคติดเชื้อฉวยโอกาสที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งในผู้ป่วยเอดส์
- ผู้ติดเชื้อเอดส์ ที่ป่วยเป็นวัณโรคมีสถิติการเสียชีวิตมากกว่าผู้ติดเชื้อเอดส์ที่ไม่ป่วยเป็นวัณโรค
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 186 พฤษภาคม 2559 โดย กองบรรณาธิการ)