[*]วันนี้ได้ทราบข่าว เกี่ยวกับคลีนิคเวชกรรมแห่งหนึ่ง อยู่ใน กทม. ที่เราเคยทำงานเป็นพาสไทม์
มีเจ้าหน้าที่สปสช ( สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ )มาตรวจ
โดยที่ทางคลีนิค ยังคงอ้างชื่อเราเป็นผู้ปฎิบัติการ
ทั้งที่เราได้แจ้งลาออกกับเจ้าของคลีนิคเรียบร้อยแล้ว
และทางผู้จัดการคลีนิคและเจ้าของคลีนิค (ไม่ใช่หมอ ) ยังถามเพื่อนเราเลยว่า
เราไปทำพาสไทม์ อีกคลีนิคนึง? แปลว่าทราบเรื่องว่าเราไม่ทำแล้วจิงมั้ยค่ะ
[*] เราจึงโทรไปเพื่อขอคำแนะนำจาก เจ้าหน้าที่ สปสช ที่ดูแลคลีนิคในพื้นที่ กทม.
กรณีที่เราลาออกจากคลีนิคแล้ว ต้องแจ้งการพ้นสภาพเป็นผู้ปฎิบิติการ ณ. คลีนิคนั้นๆหรือไม่อย่างไร
( เพราะ ความรับผิดชอบยังคงอยู่ทั้งที่เจ้าของทราบเรื่องแล้ว )
หลังจากเจ้าหน้าที่ สปสช. รับเรื่องแล้วก็รีบตามเรื่องให้ทันที
โดยโทรไปสอบถามทางคลีนิคเกี่ยวกับเรื่องที่เข้าตรวจในวันนั้น
แล้วยังคงใช้ชื่อเราเป็นเภสัชกรผู้มีหน้าที่ปฎิบัติงานอยู่ทั้งๆที่ได้ลาออกไปแล้ว 2 เดือน
ทางคลีนิคแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่า เรายังไม่ได้เขียนใบลาออก
ซึ่งจะรับคนใหม่ก็ไม่ได้ ทั้งที่เรื่องจริงเจ้าของย่อมรู้แก่ใจ
( ตอนที่เอาชื่อไปอ้างก็แย่แล้ว มาพูดจาแบบนี้อีก เลยรู้สึกว่าไม่แฟร์
เกิดคำถามในใจว่า วันที่แจ้งออกทำไมไม่บอกให้เขียนใบล่ะ แปลว่าจ้องจะหาผลประโยชน์อยู่แล้ว )
ทางเจ้าหน้าที่เลยแจ้งเราว่าให้ไปเขียนใบลาออกแล้ว ถ่ายเอกสารส่งแฟกซ์ไปทาง สปสชด้วย
เพื่อจะได้เป็นหลักฐานไว้
[*] เราจึงอยากจะเตือนพี่ๆ เพื่อนๆและน้องๆ ทุกท่าน
ให้เป็นอุทาหรณ์ด้วยยย
อย่าลืมถ้าลาออกแล้วให้เขียนใบลาออกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
แล้วถ้าไม่รู้ขั้นตอนอย่างไรให้สอบถามหน่วยงานที่กำกับดูแล หน่วยงานที่เราเคยปฎิบติการด้วยจร้า
[*] คลินิคแห่งนี้เจ้าของไม่ได้เป็นหมอ แต่เอาใบประกอบวิชาชีพของหมอท่านอื่นมาแขวน
แล้วจ้างหมอสลับกันมาตรวจ
และถ้าวันไหนหาหมอไม่ได้ หรือไม่มีหมอ
เจ้าของก็จะตรวจคนไข้เองสั่งยาเอง
และถ้าหมอสั่งยามา ก็จะให้เปลี่ยนยา ซึ่งไม่ค่อยจะตรงกับในใบสั่งยา
ใช้ยาตัวนี้แทนตัวนั้น หรือไม่ก็นตัดยาออกไปเลย
ใบส่งตัวเวลาคนไข้หนักจำเป็นต้อง ส่งตัวไปรักษาต่อก็ไม่ค่อยอยากจะออกให้
ไม่ไหวจะทำงานด้วยยค่ะ
ไม่มีจรรยาบรรณมากๆๆ หากินกับชีวิตคนป่วยแบบนี้
เอานโยบายของรัฐ มาเป็นช่องทางทำมาหากินโดยไม่คำนึงถึงมนุษยธรรมเอามากกๆๆ
ฝากเพื่อนๆชาวเขียวมะกอก ช่วยกันสอดส่องด้วยนะค่ะ
สังคมจะได้น่าอยู่ยิ่งขึ้นนนนนน
[*] อันนี้เรื่องจริงของสังคมไทย ถ้าพูดไปคงเหมือนกับละครดอกส้มสีทอง
ที่สะท้อนเรื่องจริง คนทั่วไปมองดูเหมือนเยอะไป
แต่นั่นมันคือการสะท้อนความเป้นจริงของสังคมในปัจจุบัน
ที่มองว่าไม่ใช่เรื่องของเรา จนกว่าจะเจอด้วยตัวเอง