โดย chaoya » 24 มี.ค. 2009, 11:53
ต่อ ตอนที่ 2
เรื่องที่ 2 การวิจัยและพัฒนายาจากสมุนไพร และตัวอย่างงานวิจัย
เอกสารที่แนะนำให้อ่านและใช้เป็นแนวทางงานวิจัย
1. Research Guidelines for Evaluating the Safety and Efficacy of Herbal Medicines 1993
2. General Guidelines for Methodologies on Research and Evaluation of Traditional medicine 2000
3. WHO Guidelines for Methodologies Research and Evaluation of Traditional medicines
ความยากของการ evaluation of safety , efficacy quality of medicinal plants ต้องคำนึงถึงปัจจัยที่มีผลกระทบต่อ efficacy , toxicity และปริมาณของ active constituents ได้แก่
1. Accuracy of plant identification
2. Where the plants are cultivated or collected ซึ่งมีความแตกต่างกันในเรื่องของ ชนิดของดิน อุณหภูมิ ความชื้น แสงแดด ความสูง มลพิษ อายุของพืช ฤดูกาลที่เก็บเกี่ยว ส่วนของพืชที่นำมาใช้
3. Post-harvest handling&processing
4. A single plant can contain hundreds of natural constituents
ขั้นตอนการวิจัยและพัฒนายาจากสมุนไพร
ขั้นที่ 1 การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาและกลไกการออกฤทธิ์ ทำให้ทราบสารสำคัญและวิเคราะห์ปริมาณได้
ขั้นที่ 2 ศึกษาทางพิษวิทยาในสัตว์ทดลอง
เมื่อทราบข้อมูลเบื้องต้นแล้วส่งข้อมูลการวิจัยระดับพรีคลินิกให้กรรมการจริยธรรม (Ethic Committee : EC) พิจารณาเพื่อขออนุมัติวิจัยทางคลินิก
ขั้นที่ 3 ดำเนินการวิจัยทางคลินิก Phase 1 ? 4
Phase 1 ศึกษาในคนสุขภาพดี 18-20 คนเพื่อศึกษา safety
Phase 2 ศึกษาในผู้ป่วยขนาดไม่เกิน 50 คน เพื่อศึกษา safety และ Efficacy
Phase 3 ศึกษาในผู้ป่วยจำนวนมากขึ้นประมาณ 500 คน เพื่อศึกษา Efficacy
Phase 4 ศึกษาในผู้ป่วยประมาณ 1,000 คน หลังจากยาวางตลาดแล้ว เพื่อติดตามความปลอดภัยในการใช้ยา (Chronic toxicity)
รูปแบบการวิจัย
1. Before ? After study design
2. Cross ? over study design
3. Controlled trial
การวัดผล
1. ประสิทธิผลในการรักษาเพื่อบรรเทาอาการ
2. ผลข้างเคียง
3. ความพึงพอใจของผู้ป่วยต่อการรักษา
ตัวอย่างงานวิจัย
1. ฟ้าทะลายโจร ในการรักษากลุ่มอาการของระบบทางเดินหายใจ เมื่อศึกษาพบว่ามีประสิทธิภาพเพิ่มเติมในการรักษาโรคอุจจาระร่วง และบิด แบคทีเรีย มีฤทธิ์พอๆกับ Loperamide ในการลดการสูญเสียน้ำในลำไส้จาก E.coli enterotoxin
2. ขิง ในการรักษากลุ่มอาการของระบบทางเดินอาหาร
2.1 บรรเทาอาการท้องอืด จุกเสียด แน่นท้อง
2.2 ป้องกันและบรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียน จากการเมารถ เมาเรือ
2.3 ป้องกันอาการคลื่นไส้ อาเจียน หลังการผ่าตัด
3. ขมิ้นชัน ในการรักษากลุ่มอาการของระบบทางเดินอาหาร แล้วยังพบว่า
3.1 โลชั่นน้ำมันขมิ้นชัน 2.5 % ตำรับของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ป้องกันการกัดของยุงลายบ้านได้นาน 7 ชั่วโมง และป้องกันการกัดของยุงลายสวน ยุงก้นปล่อง และยุงรำคาญได้นาน 8 ชั่วโมง
3.2 ผงขมิ้นชันทาหัวสิว ทำให้สิวยุบเร็วกว่าและหายเร็วกว่า
3.3 สารสกัดขมิ้นชัน 500 มิลลิกรัม รับประทานวันละ 4 ครั้ง หลังอาหารติดต่อกันนาน 6 สัปดาห์ มีประสิทธิผล และปลอดภัยในการรักษาผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม (Knee osteoarthritis) ไม่แตกต่างจากการรักษาด้วย ibuprofen 400 mg. วันละ 2 ครั้ง
4. ยาครีมบัวบก ใช้สมานแผล
5. ยาเจลพริก บรรเทาอาการปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ
6. ชุมเห็ดเทศ รักษาอาการท้องผูก รักษากลากเกลื้อนที่ผิวหนังได้ แต่รักษากลากที่ผมและเล็บไม่ได้
7. ไพล รักษาอาการอักเสบ ปวดบวม ฟกช้ำ
8. พญายอ สามารถทำลายเชื้อไวรัส Vericella zoster ที่ทำให้เกิดโรคงูสวัดและอีสุกอีใส ใช้รักษาแผลจาก herpes simplex, herpes zoster รักษา skin inflammation และ aphthous uleer
9. ยาบรรเทาไข้ ได้แก่ รากย่านาง รากชิงซี่ รากคนทา รากท้าวยายม่อม รากมะเดื่อชุมพร
10. ยาจันทน์ลีลา บรรเทาอาการไข้ตัวร้อน ไข้เปลี่ยนฤดู
11. ยาธาตุอบเชย กับการรักษา Functional dyspepsia
12. ใบหม่อน กับฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด
- รายงานวิจัยที่โรงพยาบาลสำโรง จังหวัดอุบลราชธานี ผู้ป่วย NIDDM ที่ได้รับ Glibenclamide ร่วมกับแคปซูลหม่อน 20 กรัม/วัน นาน 8 สัปดาห์ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดก่อนอาหารเช้า (FBS) และ HbA1c อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับก่อนรับประทานหม่อนร่วมด้วย
- รายงานการวิจัยที่โรงพยาบาลปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 จำนวน 27 ราย ได้รับสารสกัดด้วยน้ำของใบหม่อน ขนาด 2.1 กรัม/วัน แบ่งให้ครั้งละ 700 mg วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหารนาน 8 สัปดาห์ ไม่มีผลลดน้ำตาลในเลือด แต่ทำให้ระดับคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยลดลง 13% และ 28.5% ตามลำดับ ในสัปดาห์ที่ 8
13. มะระขี้นก งานวิจัยพบว่า น้ำคั้นผลสด เนื้อผลอบแห้ง สารสกัดชนิดต่างๆ ของมะระขี้นกช่วยให้ glucose tolerance ดีขึ้น ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด แต่ยังไม่มีการศึกษาขนาดที่ใช้เป็นยา ความเป็นพิษ หรืออาการข้างเคียงอย่างเป็นระบบ
14. เพชรสังฆาต แก้ริดสีดวงทวาร มีฤทธิ์ต้านอักเสบ มีการวิจัยการใช้เพชรสังฆาตเปรียบเทียบกับ Daflon พบว่าผลการรักษาไม่แตกต่างกัน
15. เถาวัลย์เปรียง บรรเทาอาการปวดหลังส่วนล่าง การศึกษาเปรียบเทียบกับการใช้ Diclofenac พบว่า ผลการรักษาไม่แตกต่างกัน
16. รางจืด ใช้ถอนพิษ
- โรงพยาบาลบางกระทุ่ม และโรงพยาบาลเดชอุดม ศึกษาสรรพคุณของชาชงรางจืด เพื่อต้านพิษของสารกำจัดศัตรูพืชในกลุ่ม organophosphate ชาชงรางจืดสามารถเพิ่ม activity ของเอนไซม์ cholinesterase ในเลือด แต่การศึกษายังไม่อาจสรุปผลได้
- คณะเภสัชศาสคร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศึกษาวิจัยฤทธิ์ของรางจืดในการต้านพิษต่อตับของแอลกอฮอล์ พบว่า สารสกัดด้วยน้ำของรางจืดช่วยป้องกันการตายของเซลตับจากพิษของแอลกอฮอล์ในหลอดทดลอง และในหนูขาวที่ได้รับแอลกอฮอล์
- ในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ที่โรงพยาบาลชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ใช้สมุนไพรรางจืด แก้พิษจากการบริโภคไข่แมงดาทะเลในผู้ป่วย 2 ราย พบว่ามีอาการดีขึ้น ทำให้มีแนวคิดเพิ่มเติมว่าจะสามารถนำรางจืดไปใช้แก้พิษในปลาปักเป้าได้หรือไม่ เพราะเป็น Tetrodotoxin เหมือนกัน
17. ลูกประคบ ลดการอักเสบ แก้ปวด ในผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม