New Document









หมอเครียดคนไข้เยอะแนะ3วิธีป้องกันจำหน่ายยาพลาด

ข่าวสารสาธารณสุข

หมอเครียดคนไข้เยอะแนะ3วิธีป้องกันจำหน่ายยาพลาด

โพสต์โดย chotto » 20 ก.ย. 2008, 08:16

รพ.ยอมรับหมอเครียด คนไข้มากเวลาตรวจเฉลี่ยคนละ 5 นาที ต้องเร่งสั่งยาจนอาจคลาดเคลื่อน แนะ 3 วิธีให้คนไข้ปฏิบัติป้องกันแพทย์ทำผิดพลาด เผยในสหรัฐแพทย์จ่ายยาผิดถึง 27 เปอร์เซ็นต์

ตามที่ "คม ชัด ลึก" ได้นำเสนองานวิจัยเชิงวิชาการเกี่ยวกับความคลาดเคลื่อนในการจ่ายยาของโรงพยาบาล ที่พบมากถึงเดือนละกว่า 200 ครั้ง ทั้งที่เกิดจากความผิดพลาดของแพทย์ พยาบาล เภสัชกร และตัวคนไข้เองแล้ว ยังมีงานวิจัยอีกหลายฉบับที่แสดงให้เห็นถึงความผิดพลาดในการจ่ายยาของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ทั้งในเขตตัวเมืองและต่างอำเภอ เช่น งานวิจัยของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ที่ศึกษาอุบัติการณ์การเกิดความคลาดเคลื่อนทางยาของหน่วยบริการปฐมภูมิขามเรียง และหน่วยบริการปฐมภูมิท่าขอนยาง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม โดยศึกษาการสั่งยาให้ผู้ป่วยทุกวันพุธ เวลา 09.00-12.00 น. เป็นเวลา 4 เดือน ระหว่างวันที่ 1 มกราคม-30 เมษายน 2550

จากการศึกษารายการยาที่สั่งให้ผู้ป่วยทั้งหมด 2,091 รายการ พบความคลาดเคลื่อน 100 รายการ หรือประมาณร้อยละ 5 แบ่งเป็นความคลาดเคลื่อนจากการจัดยามากที่สุด 68 รายการ การเขียนฉลากยาไม่ถูกต้องตามคำสั่งการใช้ยาของแพทย์ การไม่ระบุความแรงของยา จ่ายยาผิดคน จ่ายยาผิดความแรง โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนทางยา ได้แก่ ความเคยชินของบุคคล สิ่งแวดล้อม และข้อจำกัดด้านเวลา

ทั้งนี้ เภสัชกรโรงพยาบาลรัฐบาลแห่งหนึ่งให้ข้อมูลว่า ส่วนใหญ่ทุกโรงพยาบาลจะบันทึกความผิดพลาดในการทำงานลงในแฟ้มของแต่ละแผนก ไม่เคยเอาตัวเลขมารวมกันว่า ความผิดพลาดมากน้อยแค่ไหน ขณะที่แพทย์ในอเมริกาเริ่มตื่นตัวไม่ให้เกิดความผิดพลาดในการสั่งยามากขึ้น เพราะพบข้อมูลจากหน่วยงานมาตรฐานโรงพยาบาลของอเมริกาว่า คนไข้ได้รับยาที่ไม่ถูกต้องตามคำสั่งแพทย์ถึงร้อยละ 27 ถือเป็นตัวเลขที่น่าตกใจมาก เพราะฉะนั้นคนไข้ต้องระมัดระวังในการกินยา แม้ว่าจะเป็นยาตามคำสั่งแพทย์ก็ตาม

แหล่งข่าวข้างต้น ยกตัวอย่างให้ฟังว่า การสั่งยาในโรงพยาบาลรัฐบาลที่มีคนไข้หลายพันคนต่อวัน มักเกิดความคลาดเคลื่อนสูง โดยระบุไม่ได้ว่าเป็นความผิดพลาดของผู้ใดโดยตรง เช่น ผู้ป่วยความดันจากที่เคยกินยาลดความดันขนาดเม็ดละ 100 มิลลิกรัม ที่โรงพยาบาลเดิม พอย้ายมาโรงพยาบาลใหม่หมอสั่งยาความดันให้ในเม็ดละ 50 มิลลิกรัม ก็เลยรักษาไม่ได้ผล เพราะความแรงของยาลดลง หรือคนไข้มีอาการปวดหัวไม่สบายและปวดหลัง พอไปแผนกอายุรกรรมหมอก็ให้ยาแก้ปวด ไปหาหมอแผนกกระดูกก็ได้ยาแก้ปวดมาซ้ำอีก แต่เป็นยาแก้ปวดยี่ห้อต่างกัน หากคนไข้ไม่สังเกตก็จะต้องกินยาแก้ปวดซ้ำถึง 2 เท่า

นอกจากนี้ฝ่ายจ่ายยาเองก็มีความผิดพลาดได้ เช่น ให้ยาที่มีกล่องหรือสีคล้ายกัน แต่ที่ต้องระวังมากคือการจ่ายยาที่คนไข้เคยแพ้ แม้จะแจ้งให้ทราบแล้วก็ตาม เช่น คนไข้แจ้งว่าแพ้ยาตัวนี้แต่แพทย์สั่งยาที่มีโครงสร้างเหมือนกัน แต่ชื่อยาไม่เหมือนกันให้แทน ซึ่งเภสัชกรต้องคอยตรวจซ้ำ เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับผู้ป่วย

"ทุกโรงพยาบาลตระหนักถึงข้อมูลความคลาดเคลื่อนของยา แม้ว่าจะเกิดขึ้นวันละไม่กี่ครั้ง แต่ก็ถือว่าเป็นความเสี่ยงของคนไข้ ที่อาจเกิดการฟ้องร้องได้ในอนาคต ส่วนตัวคนไข้เองก็ต้องระวังในเรื่องยาให้มากขึ้น เพราะส่วนใหญ่จะไม่ค่อยศึกษาว่าแพทย์สั่งยาอะไรให้กิน หรือตัวยาออกฤทธิ์อย่างไร เพราะมีความเชื่อมั่นในตัวหมอและโรงพยาบาลมากเกินไป"

เภสัชกรคนเดิมแนะนำให้คนไข้เพิ่มความระวังใน 3 ข้อ คือ 1.ต้องบอกอาการป่วยอย่างละเอียดให้หมอรู้ เช่น อาการป่วยเป็นอย่างไร เคยเป็นหรือเปล่า และไปหาหมอที่ไหนบ้าง แพ้ยาอะไร ฯลฯ 2.นำยาเก่าที่เคยกินไปให้หมอดูทุกครั้ง 3.เมื่อรับยามาแล้วต้องดูว่า ชื่อตรงกับเราหรือไม่ มียาชื่ออะไรบ้าง วิธีกินเป็นอย่างไร ต้องตระหนักอยู่เสมอว่ายาที่ได้รับอาจไม่ถูกต้อง ควรสังเกตอย่างละเอียด แม้จะมาจากโรงพยาบาลก็ตาม

ด้านแพทย์โรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่งในภาคเหนือ ยอมรับว่า ความคลาดเคลื่อนทางยาเกิดจากหลายสาเหตุ หนึ่งในสาเหตุสำคัญคือหมอที่สั่งยาให้คนไข้ผิดพลาด เพราะปริมาณแพทย์ไม่พอเพียงกับจำนวนคนไข้ แต่ละคนมีเวลาตรวจคนไข้ไม่กี่นาที ทำให้สั่งยาอย่างเร่งรีบ และการที่มีคนไข้รอเป็นจำนวนมากก็สร้างแรงกดดันให้หมอ ทำให้ไม่ซักถามประวัติคนไข้อย่างละเอียด รวมถึงเวลาทำการที่ต้องให้เสร็จภายในเวลา 16.00 น. ไม่ว่าจะมีคนไข้มากน้อยแค่ไหนก็ตาม

"หมอยอมรับว่าเวลาที่คนไข้รอเยอะๆ จะเครียดมาก ใช้เวลาตรวจคนไข้แค่ 5 นาทีต่อคนเท่านั้น ทั้งที่ในความเป็นจริงควรใช้ไม่ต่ำกว่า 10 นาที แต่ทุกวันนี้ใช้เวลาคนละ 5 นาที 1 ชั่วโมงก็รักษาคนไข้ได้ 12 ราย วันหนึ่งก็ประมาณ 100 กว่าราย วันไหนคนรอเยอะก็ใช้เวลาแค่ไม่ถึง 1 นาทีเท่านั้น เราต้องพยายามไม่ให้ผิดพลาด แต่มันก็เหนื่อยล้า บางครั้งก็ลืมสั่งจำนวนยาหรือขนาดของยา วิธีแก้ไขปัญหานี้คือกระทรวงสาธารณสุข ต้องเพิ่มจำนวนหมอให้เพียงพอกับคนไข้ เพื่อหมอจะได้ใช้เวลารักษาคนไข้แต่ละคนได้มากกว่านี้" แพทย์ข้างต้นกล่าว

ข้อมูลจากเว็บไซต์ด้านวิจัยสาธารณสุขระบุว่า ความคลาดเคลื่อนทางยา (medication error) หมายถึงเหตุการณ์ที่สามารถป้องกันได้ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหรือนำไปสู่การใช้ยาที่ไม่เหมาะสม ทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้ป่วยได้ โดยที่ยานั้นอยู่ในความรับผิดชอบของผู้ให้บริการ ผู้ป่วย หรือผู้บริโภค และอาจเกี่ยวกับการปฏิบัติของผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์ พยาบาลหรือตัวผลิตภัณฑ์ยา เช่น การสั่งใช้ยา การสื่อสารคำสั่ง การเขียนฉลากยา การบรรจุยา การตั้งชื่อผลิตภัณฑ์ยา การผสมยาและการจ่ายยา ที่ทำให้เกิดความผิดพลาด อย่างไรก็ตาม มีรายงานวิจัยยืนยันว่าความคลาดเคลื่อนทางยาจำนวนมาก มักไม่มีการรายงานหรือถูกตรวจพบ แม้ว่าจะเกิดอันตรายกับผู้ป่วยแล้วก็ตาม เนื่องจากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลหวาดกลัวผลที่จะตามมา จึงมีการปกปิดความผิดพลาดที่เกิดขึ้น

ทั้งนี้ สถิติงานวิจัยเกี่ยวกับการขาดแคลนแพทย์ในเว็บไซต์ ระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยสามารถผลิตแพทย์ได้ปีละ 1,300-1,400 คน ทำให้มีแพทย์ต่อประชากรน้อยกว่าหลายประเทศมาก คือแพทย์ 0.3 คนต่อประชากร 1,000 คน หรือแพทย์ 1 คนต่อประชากรราว 3,000 คน ขณะที่ประเทศในยุโรปมีอัตราส่วนแพทย์สูงถึง 1 คนต่อประชากรประมาณ 300 คน ตัวเลขล่าสุดระบุว่ามีแพทย์ทั้งประเทศแค่ 2 หมื่นคน โดยแพทย์ร้อยละ 50 อยู่ใน กทม. ขณะที่บางจังหวัดในภาคอีสานมีแพทย์เพียง 40-50 คนเท่านั้น

สำหรับอาการแพ้ยาที่เป็นปัญหาสำคัญทั้งกับแพทย์และคนไข้นั้น ศ.นพ.วรศักดิ์ โชติเลอศักดิ์ ผู้ช่วยคณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ปรึกษาฝ่ายวิชาการศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย ให้ข้อมูลว่า หากคนไข้ไม่มีประวัติการแพ้ยามาก่อน แพทย์ผู้สั่งยาก็ไม่มีทางทราบได้ว่าผู้ป่วยจะแพ้ยาที่สั่งให้หรือไม่ เนื่องจากไม่สามารถทดสอบการแพ้ยาทุกชนิดให้แก่ผู้ป่วยทุกคนได้ ดังนั้นภายหลังการรับประทานยาหรือฉีดยา คนไข้ต้องสังเกตตัวเองว่ามีอาการผิดปกติหรือไม่ เช่น เป็นผื่น ลมพิษ หายใจลำบาก แน่นหน้าอก วิงเวียน คลื่นไส้ เป็นลมหมดสติ หามีอาการแปลกๆ ที่ไม่เคยพบมาก่อนหน้ารับประทานยา ให้รีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยว่ามีอาการแพ้ยาหรือไม่

ศ.นพ.วรศักดิ์แนะนำอีกว่า หากแพ้ยาชนิดใดให้พกชื่อยานั้นติดตัวเสมอ พร้อมทั้งนำชื่อยาแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบทุกครั้ง ปัจจุบันยาหลายชนิดมีสูตรโครงสร้างคล้ายกัน ดังนั้นการที่เราแพ้แอสไพรินก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่แพ้ยาแก้ปวดชนิดอื่น ด้วยเหตุนี้หากแพทย์ทราบชื่อยาที่แน่ชัดก็จะช่วยป้องกันการแพ้ยาชนิดอื่นได้ อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์กำลังค้นพบความรู้ใหม่ว่า ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ก่อให้เกิดการแพ้ยาคือลักษณะทางพันธุกรรมของบุคคล ในอนาคตอาจมีเทคโนโลยีที่สามารถตรวจลักษณะทางพันธุกรรมกับอาการแพ้ยาได้สำเร็จ

เมื่อวันที่ 19 กันยายน นพ.เรวัต วิศรุตเวช อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึงเรื่องนักวิจัยพบการจ่ายยาคลาดเคลื่อนภายใน รพ.ราชวิถี 1,255 ครั้ง ระหว่างเดือนกรกฎาคม 2550-มกราคม 2551ว่าได้สั่งการให้ ผอ.รพ.ราชวิถี ไปตรวจสอบรายละเอียด เพื่อให้ทราบถึงคำจำกัดความเกี่ยวกับการจ่ายยาคลาดเคลื่อนของผู้วิจัย และผลกระทบต่อผู้ป่วยเป็นอย่างไร โดยคาดว่าจะทราบผลภายใน 3 วัน

"การจ่ายยาคลาดเคลื่อนในรูปแบบที่แตกต่างกันจะส่งผลอันตรายต่อผู้ป่วยในระดับที่ไม่เหมือนกัน เช่น หากจ่ายยาผิดคนหรือจ่ายยาที่ผู้ป่วยแพ้ อาจเกิดอันตรายกับผู้ได้รับยาสูง แต่หากเป็นลักษณะอื่นก็จะลดหลั่นความรุนแรงลง แต่ไม่ว่าความคลาดเคลื่อนรูปแบบไหนก็ไม่ควรเกิดขึ้นทั้งสิ้น รพ.ราชวิถี เป็นโรงพยาบาลที่มีคุณภาพจำเป็นต้องสอบถามข้อมูลรายละเอียดจากผู้วิจัยอีกครั้ง เพื่อสร้างความกระจ่างและให้ ผอ.ไปตรวจสอบเหตุที่เกิดขึ้นว่าเป็นเพราะสิ่งใด ทำไมมีระบบป้องกันแล้วยังเกิดความคลาดเคลื่อนขึ้น" นพ.เรวัตกล่าว

อธิบดีกรมการแพทย์กล่าวอีกว่า ส่วนโรงพยาบาลอื่นๆ ยังไม่ได้รับรายงานการศึกษาว่า มีสถิติการจ่ายยาคลาดเคลื่อนหรือไม่อย่างไร ทั้งนี้ การจ่ายยาคลาดเคลื่อนไม่ได้หมายความว่าโรงพยาบาลไม่มีคุณภาพ เพราะตามเกณฑ์ประเมินมาตรฐานโรงพยาบาลมีการกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า โรงพยาบาลที่ได้คุณภาพควรมีอัตราการจ่ายยาคลาดเคลื่อนเท่าไร เนื่องจากทุกโรงพยาบาลจะมีระบบป้องกันความคลาดเคลื่อนตรงนี้อยู่แล้ว จึงไม่อยากให้ประชาชนตื่นตระหนกตกใจ


จาก คม ชัด ลึก
ภาพประจำตัวสมาชิก
chotto
Global Moderator
 
โพสต์: 31
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2008, 19:46
ที่อยู่: kalasin







Re: หมอเครียดคนไข้เยอะแนะ3วิธีป้องกันจำหน่ายยาพลาด

โพสต์โดย Wiz@rd. » 20 ก.ย. 2008, 11:41

ถ้าไม่มีเภสัชกร ยาที่คลาดเคลื่อนที่จะไปถึงคนไข้มากขึ้นแค่ไหน

ถ้าต้องการรายงานความคลาดเคลื่อน ผมว่ามีให้ดูทุกโรงพยาบาลแหละ

ไม่ค่อยเห็นการรายงานผลการวิจัยในแง่นี้ออกสื่อซักเท่าไหร่ ทั้งๆที่เรื่องนี้มันก็ทำรายงานออกมาแทบทุกเดือนในทุกๆโรงพยาบาล ส่งข้อมูลไปท่านๆก็เก็บเข้าแฟ้มไว้เท่านั้นมั้ง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Wiz@rd.
Global Moderator
 
โพสต์: 942
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มี.ค. 2004, 20:15
ที่อยู่: โลก

Re: หมอเครียดคนไข้เยอะแนะ3วิธีป้องกันจำหน่ายยาพลาด

โพสต์โดย Satapat » 22 ก.ย. 2008, 17:04

อเมริกาสาเหตุการตายอันดับสามมาจากใบสั่งยาของแพทย์ น่าจะมีใครทำวิจัยว่าเมืองไทยมีการตายด้วยใบสั่งยามากน้อยแค่ไหน คิดแล้วก็น่ากลัว :exclaim:
Satapat
 
โพสต์: 96
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2007, 20:31

Re: หมอเครียดคนไข้เยอะแนะ3วิธีป้องกันจำหน่ายยาพลาด

โพสต์โดย pharmakop » 24 ก.ย. 2008, 14:21

สภาวิชาชีพ น่านำเรื่องนี้มาขยายผล โดยการ
กำหนดให้แต่ละโรงพยาบาลส่งรายงาน medication error ขั้นตอนต่างๆ ซึ่งแต่ละที่เก็บอยู่แล้ว

ส่งรายงาน

จัดการวิเคราะห์ข้อมูล ของภาพรวมทั่วประเทศ

ผลที่ได้รับ
1.ร้านยาคุณภาพ เกิดชึ้นอย่างมากมาย เพราะ พรบ.ยา แบับที่ขัดแย้งกัน จะผ่านสภาอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผู้บริโภคจะทราบว่า นี่ขนาดในโรงพยาบาล ที่ตรวจสอบและป้องกันโดยเภสัชกร ยังเกิดได้มากมายขนาดนี้
แล้วในคลินิคล่ะ ปัญหานี้เกิดมากน้อยแค่ไหน ใครเป็นคนตรวจสอบ เมื่อนั้นร้านยาจะเป็นของจริงกันมากขึ้น
2.เป้นการเปิดบทบาทเภสัชกรรมอย่างเต็มภาคภูมิ
ภาพประจำตัวสมาชิก
pharmakop
 
โพสต์: 227
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2006, 15:41
ที่อยู่: ร้อยเอ็ด

Re: หมอเครียดคนไข้เยอะแนะ3วิธีป้องกันจำหน่ายยาพลาด

โพสต์โดย Infectious_RPh » 01 พ.ย. 2008, 21:28

ในมุมมองของผม ผมว่า med-error สามารถป้องกันโดยเภสัชกร ซึ่งเภสัชกรก็ทำได้ดีมาก เพราะที่รพ.ของผมเกือบจะทั้งหมดนั้นเป็น pre-dispensing error ซึ่งเภสัชกรผู้ verify เป็นคนพบ หรือเภสัชกรผู้จ่ายยาดักไว้ได้ ซึ่งนี่แหละเป็นบทบาทที่เภสัชกรที่อยู่ห้องยาเค้าก็ทำกันได้ดีมาก แต่ว่ามุมมองส่วนใหญ่ของคนทำงานนั้นมักมองภาพแค่งาน ณ จุดที่ตนเองรับผิดชอบ ซึ่งยังไม่ได้มองไปถึง ณ จุดที่ผู้ป่วยได้รับยาจริง หรือการบริหารยาของผู้ป่วย จากการที่ผมทำ med-reconcile ที่ ward ศัลย์ พบว่า ผู้ป่วยเกิดปัญหาหลายๆอย่าง เช่น หมอบอกว่าให้หยุดยาต้านการแข็งตัวของเลือดมา แต่ผู้ป่วยไม่รู้ว่าตัวไหน จึงหยุดยามาทุกตัว หรือบางที่หมอให้หยุด ASA 7 วันก่อนมาผ่าตัด แต่ผู้ป่วยไม่เข้าใจ หยุด ASA ตั้งแต่วันที่พบหมอ เลยหยุดมาเกือบเดือน บางทียาเปลี่ยนยี่ห้อแล้วยาเดิมเหลืออยู่ คนไข้ไม่รู้ว่ามันเป็นยาชนิดเดียวกัน จึงกินยามาทั้งสองยี่ห้อ ไปจนกระทั่งยาที่ห้ามแบ่ง แต่คนไข้ไม่ได้อ่านฉลากช่วย แล้วก็เอามาแบ่ง บางทีผ่าตัดเสร็จแล้วหมอก็ลืมสั่งยาเดิม/สั่งยาให้ไม่ครบตอนคนไข้กลับบ้าน จนกระทั่งปัญหาหาการบริหารยาของพยาบาลบน ward สารพัดปัญหาที่เกิดขึ้นจริง มีอีกมากมายเล่าไม่ไหวครับ
ผมคิดว่า ไม่ใช่เฉพาะแพทย์แล้วที่ขาดแคลน เภสัชกรก็ขาดแคลนด้วย เพราะปัจจุบัน work load ของเภสัชห้องยานั้นมาก ทำให้ขาดคนที่จะไปทำงานเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้ผู้ป่วยบน ward หรือ ตามไป D/C counselling หรือทำงาน pharm care ต่างๆ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วคือ การหวังจะให้เกิด patient safety ครับ
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะขยายตำแหน่งเพิ่มให้น้องๆเขามาช่วยกันทำงาน มาพัฒนาวิชาชีพ ตำแหน่งงานราชการก็มีให้น้อยจริงๆ ช่วยเพิ่มให้ด้วยได้ไหมครับ ผู้ป่วยจะได้ได้รับการคุ้มครองความปลอดภัยในการใช้ยาโดยเภสัชกรอย่างทั่วถึงครับ
Infectious_RPh
 
โพสต์: 12
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2008, 20:36

Re: หมอเครียดคนไข้เยอะแนะ3วิธีป้องกันจำหน่ายยาพลาด

โพสต์โดย asinus » 02 พ.ย. 2008, 22:50

Infectious_RPh เขียน:เภสัชกรก็ขาดแคลนด้วย เพราะปัจจุบัน work load ของเภสัชห้องยานั้นมาก ทำให้ขาดคนที่จะไปทำงานเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้ผู้ป่วยบน ward หรือ ตามไป D/C counselling หรือทำงาน pharm care ต่างๆ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วคือ การหวังจะให้เกิด patient safety ครับ
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะขยายตำแหน่งเพิ่มให้น้องๆเขามาช่วยกันทำงาน มาพัฒนาวิชาชีพ ตำแหน่งงานราชการก็มีให้น้อยจริงๆ ช่วยเพิ่มให้ด้วยได้ไหมครับ ผู้ป่วยจะได้ได้รับการคุ้มครองความปลอดภัยในการใช้ยาโดยเภสัชกรอย่างทั่วถึงครับ


จริงๆ เห็นด้วยนะ เอ่อ จะบอกว่าเห็นด้วยทั้งหมดที่กล่าวมาก็ว่าได้

แต่ ณ Quote ที่ยกมานั้น แค่อยากจะบอกว่า ปัญหาเภสัชกรขาดแคลนนั้นมองได้หลายแง่ แต่ที่เด่นๆ และเป็นปัญหาจริงๆ สำหรับวงการเภสัชกรรมโรงพยาบาลในสยามประเทศคือ

๑. รัฐบาล - ขาดการสนับสนุนตำแหน่งงานสารวิชาชีพเภสัชกรรม อาจจะเรียกได้ว่า "โดยสิ้นเชิง" เนื่องจากว่า รัฐบาลเองแทบจะไม่ได้มองถึงเภสัชกรเลย แม้จะพูดถึงระบบยา ซึ่งควรจะเป็นเภสัชกรที่รู้เรื่องนี้มากที่สุด แต่กลับกลายเป็นว่า "แพทย์" คือคนที่รัฐบาลกล่าวอ้างถึง เมื่อพูดถึงระบบยาของประเทศ

๒. กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) - เฉกเช่นเดียวกับ ข้อ ๑. คือ เค้ารู้จักเภสัชกรมากแค่ไหนกันเหรอครับ ... จริงๆ กรรมการใน สธ. น่าจะมีเภสัชกรเข้าไปบริหารงาน ณ จุดนี้ด้วย (หรือมีแล้วแต่ไม่มีสิทธิไม่มีเสียง) เพื่อชี้ให้เห็นถึงปัญหาการขาดแคลนเภสัชกรในระบบสาธารณสุขของประเทศ ... น่าจะมีการเสนอชื่อเภสัชกรเพื่อเข้าไปรับตำแหน่งเกี่ยวกับการบริหารจัดการ HR ในส่วนของการจัดสรรตำแหน่งเภสัชกรในหน่วยงานราชการ/หน่วยงานรัฐ เพื่อเสนอเพิ่มอัตราเภสัชกรในโรงพยาบาลรัฐต่างๆ ทั่วประเทศให้มากขึ้น

๓. สถาบันการศึกษา - คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยต่างๆ ควรปลูกฝังความคิด-ค่านิยม บทบาทของวิชาชีพ จรรยาบรรณวิชาชีพ และการตอบแทนคุณสังคม/ตอบแทนภาษีของประชาชน ให้มากขึ้น(จากที่ไม่ค่อยมีเลย ณ ปัจจุบัน ที่สอนๆ เรียนๆ กันเพื่อสอบ แล้วก็ผ่านไป) เพราะหาก นศภ./นสภ. ได้ตระหนักรู้ถึงบทบาทของเภสัชกรแล้วไซร้ ย่อมจะนำมาซึ่งการพัฒนาวิชาชีพ และระบบสาธารณสุขของประเทศ(ที่เกี่ยวเนื่องจากยา)ได้อย่างแน่นอน

๔. สภาเภสัชกรรม - ก็ไม่รู้ว่าพวกท่านกรรมการสภาฯ ทำอะไรกันอยู่ ไม่ทราบว่าในวาระหนึ่งๆ ของกรรมการกลางสภาฯ พร้อมกับอนุกรรมการทั้งหลายคณะ หลายท่านเนี่ย ได้ทำอะไรที่ส่งผล/เอื้อประโยชน์ต่อวิชาชีพเภสัชกรรมอันเป็นที่รักของเราบ้างหรือเปล่าครับ จริงๆ ไม่ต้องถึงขั้นเอื้อประโยชน์กับวิชาชีพหรอกครับ แค่เอาให้คนเค้ารู้ว่าอย่างนี้เค้าเรียกว่า "เภสัชกร" นะ ก็น่าจะเป็นอะไรที่น่ายินดีแล้วล่ะครับ // จริงๆ สภาฯ เภสัชกรรมเองน่าจะเป็นผู้ที่มีบทบาทมากที่สุดที่จะทำเกิด Impact กับระบบยาของประเทศ เนื่องจากว่าถือว่าท่านคือตัวแทนของเภสัชกรไทยทุกคน ความคิด บทบัญญัติ กฎหมาย พรบ. ต่างๆ ท่านคือผู้ที่อยู่ในฐานะที่ควรกระทำได้มากกว่าใครเพื่อนเลยนะครับ

๕. สถาบันการศึกษา+สภาฯ - ทั้งสองสถาบันนี้ควรจะมาประชุมปรึกษาหารือกันถึงเรื่องของหลักสูตรเภสัชศาสตร์ของสยามประเทศ พร้อมทั้งการวางระบบฝึกปฏิบัติการทางวิชาชีพ พร้อมทั้งเกณฑ์การประเมิณเพื่ออนุมัติใบประกอบวิชาชีพ ให้เป็นมาตรฐานอันหนึ่งอันเดียวกัน มิใช่มีหลายมาตรฐานเฉกเช่น ณ ปัจจุบันที่เป็นอยู่ เพราะหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ก็จะเกิดการเปรียบเทียบ และขาดซึ่งมาตรฐานไม่จบสิ้น

๖. สธ. + สถาบัน + สภาฯ - สามสถาบันนี้ควรคุยกันอย่างจริงจัง ในเรื่องของการทำงานใช้ทุนของเภสัชศาสตรบัณฑิต หลังสำเร็จการศึกษา เนื่องจากการผูกด้วยสัญญาการใช้ทุนนี้ คือทางออกที่ถือว่าอาจจะดีที่สุดสำหรับการแก้ปัญหาการขาดแคลนเภสัชกรผู้ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลรัฐ และหน่วยงานส่วนอื่นของรัฐ นั่นเพื่อหวังที่จะกระจายเภสัชกรออกสู่พื้นที่ชนบท เพื่อการใช้ยาที่ถูกต้องของประชาชนแห่งสยามประเทศ

๗. สถาบันการศึกษา(อีกครั้งหนึ่ง) - ควรจะยกเลิกระบบฝึกงานเภสัชการตลาด หรือ ผู้แทนยา อันเนื่องมาจากว่าการฝึกงานในลักษณะนี้ ไม่ได้เป็นการเพิ่มทักษะหรือประสบการณ์ทางวิชาชีพแก่ตัวผู้ฝึกเลย เป็นการฝึกการตลาดเสียมากกว่า หนำซ้ำประโยชน์ที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้ตอบคำถามของการเรียนเภสัชศาตร์มาตั้ง ๕-๖ ปี เสียด้วยซ้ำ ผมมองว่า นั่นไม่ใช่วิชาชีพ แต่เป็นอาชีพนักขาย Salesman เสียมากกว่า

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนบุคคล ไม่ได้เจตนาจะอ้างอิงถึงใคร สถาบันใดเป็นพิเศษ (นอกจากที่กล่าวไว้ ^^)

โปรดใช้วิจารณญาณ พร้อมจิตวิญญาณแห่งวิชาชีพในการอ่าน
ภาพประจำตัวสมาชิก
asinus
 
โพสต์: 40
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 มี.ค. 2007, 20:53

Re: หมอเครียดคนไข้เยอะแนะ3วิธีป้องกันจำหน่ายยาพลาด

โพสต์โดย PatientSafety_RPh » 03 พ.ย. 2008, 19:41

หวัดดี Asinus ชื่นชมคุณมากๆ สุดยอดไปเลย ในอนาคตเชื่อว่า Asinus ต้องได้เข้าไปนั่งในสภาแน่ๆ ผมสนับสนุนเต็มที่ เออ ผมเปลี่ยนชื่อ แล้วนะ จาก Infectious_RPh เป็นชื่อ PatientSafety_RPh แล้ว คือ มีคนมาเข้าใจผิด คิดว่าผมเป็นผู้เชียวชาญด้านโรคติดเชื้อท่านหนึ่ง ก็เลยเปลี่ยนชื่อ กลัวเจ้าตัวเค้าจะได้รับผลกระทบในภายหน้าหน่ะ :lol: :lol: :mrgreen:
PatientSafety_RPh
 
โพสต์: 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 พ.ย. 2008, 18:16


ย้อนกลับไปยัง คาปูชิโน

ผู้ใช้งานขณะนี้

New Document