จากรายงานวิเคราะห์ของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF เมื่อช่วงต้นปี 2552 ที่ผ่านมา ระบุตัวเลขจีดีพีของกัมพูชาจะอยู่ในสภาพหดตัวร้อยละ 0.5 ขณะที่หน่วย งานศึกษาวิจัยอิสระ อีโคโนมิสต์ อินเทลลิเจนซ์ ยูนิต หรือ EIU กลับชี้ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจน่าจะย่ำแย่กว่านั้น ด้วยตัวเลขGDPที่มีโอกาสติดลบอย่างน้อย 3% ซึ่งก็เป็นการคาดการณ์ที่ชี้ให้เห็นว่ากัมพูชาเป็นอีกหนึ่งประเทศที่เลี่ยงเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจโลกไม่ได้ และต้องพึ่งพาความช่วย เหลือจากประเทศอื่น ซึ่งก็หมายความรวมถึงประเทศไทย ในฐานะเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนใกล้ชิดติดกัน
และแม้ข้อบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจกัมพูชากำลังเข้าสู่ช่วงชะงักงันที่สุดในรอบ 5 ปี จากผลกระทบยอดส่งออกอุตสาห กรรมสิ่งทอไปสหรัฐและยุโรปที่ลดฮวบไปแล้วถึงร้อยละ 25 และ ยอดนักท่อง เที่ยวก็ลดไปถึงกว่าร้อยละ 16 จะถูกโต้ตอบทันควันจากสมเด็จฮุนเซน ว่าการวิเคราะห์ดังกล่าวตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเอนเอียงทางการเมือง
แต่จากรายงานสถานการณ์การจ้างงานของกระทรวงแรงงาน ประเทศกัมพูชา ที่ระบุว่าตั้งแต่ช่วงต้นปีจนถึงเดือนกันยายนที่ผ่านมา กัมพูชามีโรงงานปิดตัวถาวรไปแล้วถึง 77 แห่ง และ อีก 53 แห่งเลือกจะปิดตัวชั่วคราว โดยมีแรงงานมากกว่า 2 หมื่นชีวิตที่ตกอยู่ในสภาพไม่มีงานทำ และมีชีวิตอยู่อย่างลำบากแร้นแค้น
ซึ่งเมื่อนำมาตัวเลขผู้ตกงานมารวมกับจำนวนประชากรผู้มีรายได้น้อย ที่มีรายได้เพียง 50 เซ็นต์ หรือ แค่ประมาณ 17 บาทต่อวัน จากข้อมูลการการสำรวจของ IMF ก็พอทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าประเทศกัมพูชากำลังตกอยู่ในสภาวะย่ำแย่ทางเศรษฐกิจเพียงใด เมื่อประชากรทั้งหมด 14 ล้านคน มีสัดส่วนผู้ยากไร้ทั่วประเทศสูงถึงร้อยละ 35 หรือ เกือบ 5 ล้านคน
และนี่คือความจริงของกัมพูชา ที่คนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ ไม่ได้มีชีวิตสุขสบายเหมือนกับท่านผู้นำ และการที่ฮุนเซนใช้อารมณ์ในการบริหารประเทศ ทำให้รับรู้ได้ว่า คนๆนี้เป็นคนเช่นไรกันแน่!!!