ความรู้เรื่องยาเม็ดคุมกำเนิด ตอนที่ 1
ฮอร์โมนเพศหญิง
ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen / Oestrogen)
ฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนที่สามารถพบได้ในทั้งผู้ชายและผู้หญิง แต่จะพบปริมาณสูงในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ หน้าที่ของฮอร์โมนเอสโตรเจนได้แก่
- กระตุ้นการเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ของเพศหญิง (female secondary sex characteristics) เช่น ทำให้สะโพกผาย อวัยวะเพศและเต้านมใหญ่ขึ้น มดลูกมีขนาดใหญ่ขึ้น มีขนที่รักแร้และอวัยวะเพศ
- ทำให้มีการเจริญหนาตัวของเยื่อบุมดลูก (Endometrium) เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการฝังตัวของไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิ
- มีผลทำให้เซลล์คอลลัมนาร์ (columnar) ของปากมดลูกขับมูกใสออกมา โดยในช่วงใกล้วันไข่ตกจะขับมูกที่มีลักษณะเหนียวหนืด แต่มูกจะใสและเหลวลงในวันที่เกิดการตกไข่ เพื่อช่วยให้ตัวอสุจิ (sperm) ผ่านเข้าสู่ปากมดลูกได้ง่ายขึ้น
- เพิ่มระดับคอเลสเทอรอลชนิดดี (High density lipoprotein; HDL), ลดคอเลสเทอรอลชนิดเลว (Low density lipoprotein; LDL) และมีผลต้านการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดเส้นเลือดแข็งตัวและปัญหาเส้นเลือดที่หัวใจ
- ลดการสลายของกระดูก โดยพบว่าในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน เนื่องจากการสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลง
- คงสภาพของผิวหนังและหลอดเลือด ทำให้ผิวดูมีน้ำมีนวล
ฮอร์โมโปรเจสเตอโรน (Progesterone)
- ทำให้เยื่อบุมดลูก (Endometrium) ที่ได้รับการกระตุ้นโดย estrogen ยังคงหนาตัว และมีสภาพเหมาะสมพร้อมสำหรับการฝังตัวของไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิ
- ทำงานร่วมกับฮอร์โมนเอสโตรเจน ในการยับยั้งการหลั่งของฮอร์โมน FSH และ LH จากต่อมใต้สมองทำให้ไม่มีการตกไข่ซ้อน
- ทำให้มดลูกไม่หดรัดตัวมาก เพื่อให้ตัวอ่อนมาฝังตัวที่มดลูกได้ แต่ในช่วงที่ใกล้คลอดจะมีระดับฮอร์โมนโปรเจส-เตอโรนลดลง เพื่อให้มดลูกสามารถหดรัดตัว และคลอดทารกออกมาได้ นอกจากนั้นยังมีผลลดความตึงตัวของเนื้อเยื่อ กล้ามเนื้อ เอ็น และข้อต่อต่างๆ ทำให้ยืดขยาย จึงทำให้มีอาการปวดเมื่อยง่าย
- ทำให้มีการเจริญของต่อมน้ำนม, มีท่อน้ำนมมากขึ้น, มีจำนวนเซลล์ที่สร้างน้ำนมมากขึ้น
- ทำให้อุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้นเล็กน้อย
รอบเดือน (Menstrual cycle)
รอบเดือนของสตรีวัยเจริญพันธุ์โดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 28 วัน แต่ในบางคนอาจจะใช้เวลาได้ตั้งแต่ 21 ถึง 40 วัน ในแต่ละรอบเดือนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้รังไข่ผลิตไข่ขึ้นมา เมื่อไข่สุกก็จะกระตุ้นให้เกิดการตกไข่ (Ovulation) ประมาณวันที่ 14 ของรอบเดือน
ในขณะเดียวกันเยื่อบุที่ผนังมดลูก (Endrometrium) ก็จะถูกกระตุ้นให้มีการหนาตัวขึ้นเพื่อให้พร้อมต่อการฝังตัวของไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิ แต่หากไข่ไม่ได้รับการปฏิสนธิผนังมดลูกก็จะสลายและหลุดลอกออกมาเป็นเลือดประจำเดือน หรือ ระดู
ในแต่ละรอบเดือนสามารถแบ่งออกได้เป็นระยะต่างๆ คือ ระยะฟอลิคูลาร์ (Follicular phase), ระยะตกไข่ (Ovulation) และระยะลูเตียล (Luteal phase)
ระยะฟอลิคูลาร์ (Follicular phase)
เริ่มจากวันที่ 1 ของรอบเดือน หรือวันแรกที่มีเลือดประจำเดือน สมองส่วนไฮโปทัลลามัส (Hypothalamus) จะหลั่งฮอร์โมนที่ชื่อว่า โกนาโดโทรปิน-รีลีสซิง ฮอร์โมน (Gonadotropin-releasing hormone; GnRH) มากระตุ้นให้ต่อมใต้สมองส่วนหน้า (Anterior pituitary gland) หลั่งฟอลลิเคิล-สติมูเลติงฮอร์โมน (Follicle-stimulating hormone; FSH) ออกมาในกระแสเลือด ซึ่งจะกระตุ้นไข่อ่อนตั้งต้น (Primordial Follicle) ภายในรังไข่ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากให้เจริญ
ในช่วงวันที่ 5-7 จะมีฟอลลิเคิลเพียงอันเดียว (Dominant Follicle) ที่ถูกกระตุ้นให้เจริญต่อไปจนโตเต็มที่ (Graafian follicle) ส่วนไข่อ่อนที่เหลือจะถูกกดไว้ไม่ให้เจริญ กราเฟียนฟอลลิเคิลจะสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนออกมากระตุ้นให้เยื่อบุผนังมดลูกหนาตัวขึ้น มีเลือดมาเลี้ยงมากขึ้น เพื่อรองรับการฝังตัวของไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิ
ระยะตกไข่ (Ovulation)
ในวันที่ 13-14 ของรอบเดือนระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) จะมีระดับสูงขึ้น ซึ่งมีผลเหนี่ยวนำให้ต่อมใต้สมองส่วนหน้าหลั่งฮอร์โมนลูทินไนซิง ฮอร์โมน (Luteinizing hormone; LH) ออกมาในปริมาณสูง (LH surge) ทำให้ฟอลลิเคิลแตกออก และปลดปล่อยไข่ภายในฟอลลิเคิลเข้าสู่ท่อนำไข่ (Fallopian tube)
ระยะลูเตียล (Luteal phase)
ฟอลลิเคิลที่แตกออกแล้วจะกลายเป็น คอร์พัส ลูเทียม (Corpus luteum) ซึ่งสร้างฮอร์โมนฮอร์โมนเอสโตรเจน และฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) โดยฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะช่วยรักษาสภาพของเยื่อบุผนังมดลูกที่หนาตัวให้พร้อมสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อน นอกจากนั้นฮอร์โมนที่หลั่งมาจาก คอร์พัส ลูเทียมมีผลยับยั้งการหลั่งฮอร์โมน FSH และ LH จากต่อมใต้สมองส่วนหน้า ทำให้ในแต่ละรอบเดือนจะมีไข่ที่เจริญเพียงอันเดียว
ถ้าไข่ไม่ได้รับการผสมโดยอสุจิ ก็จะไม่เกิดการฝังตัวของตัวอ่อน จะทำให้คอร์พัส ลูเทียมฝ่อและสลายตัว ในช่วงวันที่ 23-25 ของรอบเดือน กลายเป็น คอร์พัส แอลบิแคน (Corpus albican) ซึ่งไม่สามารถสร้างฮอร์โมนได้แล้ว ทำให้เยื่อบุมดลูกสลายตัว หลุดลอกกลายเป็นเลือดประจำเดือน และผลการยับยั้งการหลั่งฮอร์โมน FSH และ LH ก็จะหายไป ทำให้มีการหลั่ง FSH เกิดการเจริญของไข่อ่อนเกิดเป็นรอบเดือนใหม่
ในกรณีที่ไข่ได้รับการผสมกับอสุจิ ไข่ที่ได้รับการผสมจะใช้เวลาเดินทางจากท่อนำไข่ไปยังโพรงมดลูกและฝังตัวเพื่อเจริญเติบโตต่อไป ภายใน 1 สัปดาห์รกจะสร้างฮอร์โมน ฮิวแมน โคริโอนิค โกนาโดโทรปิน (Human chorionic gonadotropin; HCG) ทำให้คอร์พัส ลูเทียมยังคงทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนโปรเจนเตอโรนต่อไปได้ เยื่อบุผนังมดลูกจึงหนาตัว และมีเลือดมาเลี้ยงเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของตัวอ่อน
[โปรดติดตามตอนต่อไป]