PharmaCafe.com

สืบเนื่องมาจากการได้ไปงาน"มันนี่เอ็กซ์โป"ที่โคราช ครับ
ผมได้มีโอกาสได้นั่งคุยกับคนหลายคน ที่ผมรู้สึกว่า..เค้ารวย
ผมได้มีโอกาสได้ซื้อหนังสือมาหลายเล่ม ที่ผมรู้สึกว่า..ถ้าอ่านแล้วเข้าใจ และทำตาม จะทำให้ผมไปอยู่ในกลุ่มคนรวย กะเค้าบ้าง

แต่เมื่ออ่านแล้ว คุยแล้ว, มันก็ต้องมีการโน้ตอะไรบางอย่างไว้เตือนความจำ
..ผมจึงขออนุญาตแอดมิน ตั้งกระทู้นี้ ที่นี่นะครับ

เผื่อมีใครสนใจ และอยากแชร์ไอเดียกัน
ก็เชิญเลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ

เชิญติดตามทัศนาโดยพลัน...

มีงานทำ และ มีเงินออม

ว่ากันว่า..
..คนทำงาน ถึงจะมีเงิน
..คนไม่ออมเงิน ไม่มีทางรวย

"สั้นๆ ..
..แต่ทำให้เป็นนิสัย ไม่ง่ายเลย
และ ที่ยากที่สุดคือ..การไม่เอาเงินออมมาใช้สุรุ่ยสุร่าย"

อิอิ
ชิมะ ชิมะ

ลักษณะพื้นฐานของคนรวย    (แปลว่า.. อย่างน้อยที่เราจะเห็นในคนรวย)

1.มีบ้านเป็นของตนเอง ที่ผ่อนหมดแล้ว
2.ไม่มีหนี้สิน
3.มีเงิน มีรายได้เพียงพอที่จะชำระค่าใช้จ่ายประจำโดยไม่เดือดร้อน


ปล.
ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร บอกว่า.."ณ ปัจจุบัน ควรมีเงิน(ข้อ3.) สัก 5 ล้านบาท"


"น่าจะพอไหว ชิมะ ชิมะ"

5 ล้าน มากไปไหม

ถ้ามาก, เราเอาแนวคิดนี้กันมะ..
เป็นแนวทางแห่งอิสรภาพทางการเงินที่พบในเอกสารของตลาดหลักทรัพย์ฯ

ได้แก่..

..เงินออมที่ควรจะมี= 1/10 * อายุ * เงินเดือน * 12



อิอิ
" ค่อยเป็นไปได้สำหรับมนุษย์เงินเดือน ชิมะชิมะ "


ส่วนคนบางคน ที่มีลูก เมีย/สามี  ที่ว่างงาน (ไม่ได้หาเงิน )
ก็คงต้องคิดให้หลายคนหน่อย แล้วเอามารวมกัน

"ถ้าคิดทั้งหมดแล้ว,เอามาเทียบกับเงินออมที่มีอยู่จริง แล้วสูงกว่าที่คิดละก็..ถึงจะเรียกว่ารวยจริง
ผมว่านะ"

กรณีศึกษาของนายนีโม

ชื่อ,อายุ,เงินเดือน,:          เงินออม
นีโม,42,40000:      2,016,000
กิ้ก,28,5000:            168,000
ลูกชาย,14,3000          50,400
ลูกสาว,11,3000          39,600

รวมทั้งครอบครัวคือ 2,274,000 บาท




ข้อสังเกตุ
..ยิ่งแก่ ยิ่งต้องมีเงินออมเยอะ ถ้าไม่รีบออมตอนหนุ่ม ระวังจะตายก่อนไม่ได้ออม
..กิ้ก(หรือเมีย) เวลาเราถามว่าคุณจะใช้เงินเดือนเท่าไหร่ ก็จะตอบว่าไม่มาก อย่างกรณีนี้ ตอบมาแค่ห้าพันก็อยู่ได้แล้ว(ไหงตอนไปช้อปปิ้ง มันซื้อเอา ซื้อเอาฟระ)
..เก็บเงินให้ลูก ไม่ยากกว่าที่คิด , บางทีให้เด็กเก็บค่าขนมเอง ยังได้เลย







ปล.
ขอขอบคุณนีโมที่เอื้อเฟื้อข้อมูล

ตามอ่านค่า   

" อุ๊ย   ดีใจ    มีคนอ่าน"

kohboy เขียน:กรณีศึกษาของนายนีโม

...
เงินออมรวมทั้งครอบครัวคือ 2,274,000 บาท

นีโมบอกว่าคืนนี้จะไปลิสท์รายการดูว่าเงินออมของตัวเองมีกี่บาทกันแน่,
แล้วจะมาบอกว่า สูง หรือ ต่ำ กว่าที่คำนวณ

ว่าซั่น

เรื่องเงินออม
มีเรื่องเล่าครับ
ครั้งหนึ่งที่สกลนคร ผมได้ถามน้องรักคนหนึ่งที่กำลังเปิดร้านยาใหม่ว่า "เอ็งเก็บเงินแบบลืมไปเลยได้รึเปล่า เอาวันละร้อยบาทพอ"
ภก.คนนั้นบอกผมว่า.."ได้ น่าจะห้าร้อยด้วยซ้ำ"

ถึงวันนี้ ผมเชื่อว่าเค้ามีเงินออม
และมีมากพอที่จะมีอิสรภาพทางการเงิน

น่าชื่นใจ และชื่นชมความสามารถของน้องคนนี้..คนที่เด็ก มข. รู้จักเค้าดี.."เสี่ยมนต์สิทธิ์" นั่นเอง

ผมรู้สึกว่าพี่ kohboyคำนวนเงินผิดแล้วครับครอบครัวนี้น่าจะมีเงิน6,274,000 บาทนะครับ
สมาชิกในครอบครัวมี4คน แต่ละคนมีหัวละ1ล้าน รวมจึงได้เท่านี้เกิน5ล้านพอดี555+
ขำๆนะครับอย่าซีเรียส

อ้าว ไม่รู้ว่ามีเชคชื่อด้วย
อ่านอยู่เหมือนกันครับพี่


แต่บางคนบอกว่าอย่าเก็บเงินฝากธนาคารมากตอนนี้ เพราะอัตตราดอกเบี้ยต่ำกว่าเงินเฟ้อ แปลว่ายิ่งเก็บยิ่งขาดทุน ให้เอาไปซื้อพันธบัตร หรือกองทุนรวม หรือซื้อทอง
ถ้ามีปัญญาดูงบดุลเป็นก็เอาไปเล่นหุ้น
แต่เสี่ยแถวสุพรรณเอาไปซื้อคอนโดกลางเมือง ที่เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องกลัวว่าหาคนเช่าไม่ได้ ถึงขนาดมีคนเขียนเป็นตำราออกมาว่าด้วยการทำกำไรจากการซื้อคอนโดกลางเมือง
เสี่ยแถวบ้านอำเภอบอกว่า ทำงานมาตั้งนานแต่เงินไม่ค่อยมีเก็บ มีแต่บ้านและที่ดินริมทะเล

ปล.เมื่อวานนี้เป็นวันที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงสุดในรอบ25ปี และเดือนนี้เป็นเดือนแรกที่ราคาน้ำมันทำนิวไฮ สองรอบในเดือนเดียว เห็นเค้าออกโทรทัศน์ 

กะแล้วว่าต้องมีหลายคนที่มีเงินออมอยู่แล้ว
แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะยังมีทางอื่นใดที่ดีกว่าการเก็บเงินสดหรือป่าว
ที่สำคัญคือ.."ถ้าไม่เก็บเป็นเงินสด,จะเก็บยังไง โดยที่ได้กำไร และไม่สูญหาย"

รอซักนิดนะครับ
ผมจะลองเก็บตกความรู้มาเล่าให้ฟัง
จะได้มาหารือเจรจาต้าอวยด้วยกัน



มันมีอยู่สองเรื่องหลักๆ ที่จะจัดการกับเงินออม ครับ
ได้แก่
1. เงินสด และ ตราสารหนี้
2. ตราสารทุน


เดี๋ยวค่อยมาว่ากันต่อนะครับ

kohboy เขียน:มันมีอยู่สองเรื่องหลักๆ ที่จะจัดการกับเงินออม ครับ
ได้แก่
1. เงินสด และ ตราสารหนี้
2. ตราสารทุน


เดี๋ยวค่อยมาว่ากันต่อนะครับ

ผมมีอีกวิธีครับแบบว่านิ่มๆ ช้าๆ ตอบแทนมากกว่าสองวิธีข้างบน แต่ ไม่มีใครมาแชร์ความเสี่ยง
ผมมองมาสอง ถึงสามปีแล้วครับ โดยให้เพื่อที่ทำงานที่ เป็นโบลกเกอร์
คือให้หาพอร์ตหุ้น ซักพอร์ต ที่ไม่ดังมาก ไม่เป็นเป้าสายตามากนัก..เก็บไว้ซักพอร์ต
เพื่อจะเอาไว้เก็บกินปันผล(devidence)ซึ่งเท่าที่รู้คือกลุ่ม อาหาร
ที่ผมสนใจวิธีที่สามนี้ เพราะว่า คล้ายๆกับสองวิธีแรก แต่เราไม่มีใครดูแลความเสี่ยงให้ ต้องดูเอง
ต้องเข้าใจนะครับไม่เชิงว่าเป้นการเล่นหุ้น เพื่อซื้อเช้าขายบ่าย หรือ ซื้อบ่ายขายเช้า
แต่เป็นการหาพอร์ต ซึ่ง คำว่าพอร์ต คือ หุ้นหลายตัว ที่บวกลบ ความเสี่ยงแล้วอยู่ตรงกลาง
ซื้อไว้ ซักพอร์ต พอ ปลายปี ปันผล....ซึ่งแน่นอนว่าวิธีนี้มีความเสี่ยงกว่า แต่ก้อใช่ว่า สองวิธีข้างบนไม่มีความเสี่ยง
แต่อย่างที่บอกคือ สองวิธีข้างบน มีคนดูให้  แต่ วิธีนี้ต้องดูเองครับ
ซึ่งการออมก้อ คือ การลงทุนเหมือนกัน

ทำไมถึงเรียกว่าการลงทุน...ก้อ เพราะเวลาเอาเงินไปฝากธนาคาร แล้วได้ดอก..ดอกคือ รายได้ที่เกิดจากการฝาก
ดังนั้น การออม ก้อคือ การลงทุน
ซึ่ง หลักการลงทุน คือ
high risk high return...................and no free lunch
ดอกที่เราได้มา ก้อ มีค่าใช้จ่ายไม่ใช่ได้มาฟรีๆ  ค่าใช้จ่ายก้อคือ ...ภาษีทีถูกหัก

ดังนั้นหากมองว่าการออมคือการลงทุน ถ้ามีช่องทางอื่น ที่ให้ดอก ผล ที่ดีกว่า
ซึ่งผมอยากเอาไปลงทุนในแบบ ที่สาม

เหตุผลที่ไม่เลือก สองวิธีข้างบนเพราะ......ทุกคนคิดเหมือนพี่เกาะครับ
รู้ได้งั้ยว่า คิดเหมือนกับพี่เกาะหมด......สังเกตจากการประกาศขาย ตราสารต่างๆ หรือ กองทุนรวม
คือ พอเริ่มขายได้ไม่กี่นาที มันก้อหมดแล้ว.."ปซื้อไม่ทันซักที
ดังนั้นการลงทุนในแบที่สาม (ในความคิดผม)น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า และหากว่าเราไม่อยากทำต่อ
เราสามารถที่จะเลิ กได้ทันที  อย่างเช่นมีความจำเป็นที่จะเอาเงินไปลงทุนด้านอื่น
สามารถเอาพอร์ตที่ถือ อยู่มาขายในตลาดได้
และอย่างที่บอกครับ ผมจะให้เพื่อนที่เป็นโบลกเกอร์ ช่วยดูให้ไม่ใช่ว่าผมจะดูเองทั้งหมด
เพราะผมไม่มีเวลาเช็กสถานการณ์ได้ ทั้งวัน

ปล.การพนัน ไม่ใช่การลงทุนนะครับ
เพราะเรื่องความเสี่ยงนั้นมากอยู่แล้ว รู้ๆกัน แต่ ความเสี่ยงมากๆนั้น หลายๆครั้งไม่ได้ผลตอบแทน
มีแต่ต้องเพิ่มทุนเข้าไป อีกเข้าข่าย "high risk no return"

azzuri เขียน:ปล.การพนัน ไม่ใช่การลงทุนนะครับ
เพราะเรื่องความเสี่ยงนั้นมากอยู่แล้ว รู้ๆกัน แต่ ความเสี่ยงมากๆนั้น หลายๆครั้งไม่ได้ผลตอบแทน
มีแต่ต้องเพิ่มทุนเข้าไป อีกเข้าข่าย "high risk no return"

คิดอย่างนี้ถูกต้องเลยครับ

วารสาร " M&W (Money and Wealth)" ได้บอกว่า "การลงทุนไม่ใช่เรื่องเสี่ยงโชค การลงทุนที่ดีคือต้องลดความเสี่ยง และเรียนรู้การลงทุนอย่างมีหลักการ"