ตอนที่๑
แด่สหายสมบูรณ์
ภก.ศุภรักษ์ ศุภเอม
ภาพหนึ่งที่ดูจะชินตากับเจ้าหน้าที่ตึกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลอุบลรัตน์ ก็คือภาพชายสูงอายุที่ดูท่าทาง แข็งแรงจะคอยบอก คอยแนะนำคนไข้ถึงการใช้บริการห้องจ่ายยา อย่างเป็นกันเอง ในเกือบทุกๆ เดือนที่มีการนัดคนไข้เบาหวานจากตำบลเขื่อนอุบลรัตน์ มาตรวจที่โรงพยาบาล ก็จะพบชายสูงวัยใจดีชื่อตาสมบูรณ์คอยส่งเสียงแนะนำการใช้บริการให้แก่ผู้ป่วยเบาหวานที่มาโรงพยาบาลแทบทุกครั้งไป ผมยังจำได้ดีถึงรอยยิ้มบนใบหน้าของคุณตาสมบูรณ์ ที่มีความหวังดีอยากจะช่วยงานเล็กๆ น้อย ๆ ให้โรงพยาบาลโดยไม่เคยคิดเรียกร้อง ใดๆ ทั้งสิ้น ไม่เคยแม้จะคิดขอลัดคิวขอได้ยาก่อน นี่แหละครับคุณตาสมบูรณ์ที่ใจดีของผม ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกเหมือนกัน ที่คุณตาแท้ๆ ของผมก็ชื่อสมบูรณ์เหมือนกัน โลกนี้ ช่างมีเรื่องบังเอิญเกิดขึ้นได้จริงๆ
คุณตาสมบูรณ์ จริงๆ แล้วแกก็อายุไม่มากมายอะไร ตอนที่ผมรู้จักแกครั้งแรก ตอนนั้นแกอายุแค่ ๕๙ ปี เท่านั้น หากจะนับกันจริงแกก็จะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อผมมากกว่า แต่ผมก็สะดวกใจที่จะเรียกว่าคุณตาสมบูรณ์มากกว่า คุณตาสมบูรณ์เป็นผู้ป่วยเบาหวานคนหนึ่งที่เป็นเบาหวานมานานเกือบ ๒๐ ปีแล้วแต่ดูยังแข็งแรงอยู่แต่ว่าอย่างไรก็ตาม ระดับน้ำตาลในเลือดของแกมักขึ้นๆ ลงๆ อยู่เสมอ ผมก็เหมือนกับเภสัชกรทั่วๆ ไปก็คือ หากพบคนไข้เบาหวานที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ก็จะให้คำแนะนำเรื่องการใช้ยา เรื่องอาหารและการออกกำลังกาย แม้ลึกๆ ในใจผมจะบอกว่าทำแค่นี้ มันยังไม่ดีพอการให้คำแนะนำคนไข้เบาหวานครั้งละ ๕ ถึง ๑๐ นาที จะช่วยคนไข้ได้หรือผมชักสงสัยแล้วเหมือนกัน เมื่อผมมีโอกาสได้ออกชุมชนที่หมู่บ้านที่คุณตาสมบูรณ์อยู่ ผมก็ได้มีโอกาสไปเยี่ยมแกที่บ้านเป็นครั้งแรก วันนั้น เป็นวันอังควรในช่วงบ่ายผมไปถึงบ้านคุณตาสมบูรณ์เป็นบ้านแรก บ้านแกเป็นบ้านไม้ ใต้ถุนสูง ที่มีสภาพกลางเก่ากลางใหม่ สิ่งแรกที่ผมเห็นก็คืออวนดักปลา และเรือหางยาวที่จอดไว้หลังบ้าน นอกจากนี้ ยังมีรถเครื่องสภาพดีอีก ๒ คัน จอดอยู่ใกล้ๆ กันด้วย ครอบครัวคุณตาสมบูรณ์มีลูก ๕ คน เป็นผู้ชายสองคน ผู้หญิงสามคน และมีหลานสาวเล็กๆ อยู่ด้วยสองคน ในครอบครัวของคุณตามีลูกสาวและลูกชายอยู่ด้วยอย่างละคน
หากดูจากสภาพความเป็นอยู่ของแกผมถือว่าคุณตาสมบูรณ์มีฐานะความเป็นอยู่ที่ใช้ได้ทีเดียว หลังจากที่ผมได้พูดคุยกับคุณตาพักใหญ่ก็ได้ชวนคุณตาสมบูรณ์ ออกเยี่ยมผู้ป่วยรายอื่นๆ ต่อไป คุณตามสมบูรณ์นับว่าเป็นไกด์ที่ดี เพราะพาผมไปเยี่ยมคนไข้รายอื่นได้สะดวกสบายมากขึ้น และต้องขอบอกว่าคุณตาสมบูรณ์เป็นผู้ชายที่คุยเก่งมาก มากกว่าผมเสียอีก ผมกับคุณตาสมบูรณ์ได้ออกเดินคุยกันไป ไปเยี่ยมผู้ป่วยรายอื่นไป รวมแล้ววันนั้น ได้ ๕ รายเป็นผู้ป่วยเบาหวาน ๓ ราย ผู้ป่วยอัมพาต ๑ ราย และผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ๑ ราย ผมกับแกได้มีโอกาสคุยกันไปตลอดบ่ายทำให้ทัศนคติของผมที่มีต่อชาวบ้านในเรื่องของการเมืองเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง วันนั้นผมยอมรับอย่างจริงใจเลยว่าคุณตาสมบูรณ์นั้น มีความรู้เรื่องการเมืองการปกครองมากกว่าผมเสียอีก ผมถามว่าคุณตาสมบูรณ์เรียนจบชั้นไหนแกบอกว่าก็จบ แค่ ประถม ๔ เท่านั้น แต่มีความรู้เรื่องการเมืองการปกครองมากกว่า เภสัชกรปริญญาเสียอีก
ทำให้มุมมองว่าชาวบ้านโง่ ไม่รู้หนังสือ เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะคำว่า โง่ จน เจ็บ ที่ฝังอยู่ในสมองผมมานานเริ่มสั่นคลอน ความคิดแบบเดิมๆ บอกว่า หมอต้องไปสอน ชาวบ้านเรื่องการดูแลสุขภาพแต่เพียงฝ่ายเดียว อาจไม่ถูกต้องเสียแล้ว ในทางตรงกันข้าม หมอเสียอีกที่ต้องเป็นฝ่ายเข้าไปเรียนรู้จากชาวบ้านเพื่อให้เข้าใจปัญหาสุขภาพที่ซับซ้อนว่ามันเกิดจากอะไร จะทำให้เราเข้าใจอะไรได้มากขึ้นอันจะเป็นหนทางหนึ่งที่จะแก้ปัญหาสุขภาพได้อย่างยั่งยืนผมเองเมื่อเรียนจบใหม่ๆ ก็ไม่สนใจจะรับราชการไปตลอดชีวิต คิดแค่ใช้ทุนให้จบ ๒ ปี แล้วไปทำงานเอกชน หารายได้ที่มากขึ้น หาความท้าทายใหม่ๆ แต่สองปีที่ผมได้ทำงานโรงพยาบาลชุมชน ได้เปลี่ยน ความคิด ความเชื่อ ความรู้สึก ของผมไปตลอดชีวิต แต่เดิมผมก็เหมือนชายหนุ่มทั่วไป หยาบกระด้าง ไม่ละเอียดอ่อน ดังนั้นงานดูแลผู้ป่วยจึงไม่เหมาะกับผู้ชายอย่างผม ไม่ และที่สำคัญ ผมไม่อยากจะไปรับผิดชอบชีวิตคนอีกด้วย การรับผิดชอบชีวิตคนอื่น มันเป็นภาระที่ใหญ่เกินไป ผมไม่สนใจแน่ แต่การทำงานโรงพยาบาลชุมชน ๒ ปี การไปคลุกคลี กับชาวบ้าน กับคนงาน การไปทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่สถานีอนามัย การไปเยี่ยมบ้าน การไปกินข้าวงานบุญที่หมู่บ้าน การไปสนทนาธรรมกับพระวัดป่าในหมู่บ้าน การออกไปตกปลา ทอดแห กับคนงานที่เป็นคนในพื้นที่ ทำให้ผมหลงรักการทำงานในโรงพยาบาลชุมชน และผมได้รู้สิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง ก็คือ ผมมีความสุขที่ได้ช่วยเหลือ ชาวบ้าน ได้ช่วยเหลือคนไข้ ผมมีความสุขมาก ในใจผมบอกตัวเอง ง่ายจังเลยการหาความสุขของผู้ชายคนหนึ่ง คือการทำงาน และได้เงินเดือน โชคดีจริงๆ ที่ผมได้ค้นพบตนเองก่อนอยุ ๒๕ ปี