New Document









ชีวิตคนขายของ(ยา)ยามดีก เป็นเภสัชก็มีสิทธิ์โดน

ประกาศรับสมัครงาน โยกย้าย
กระทู้ที่เกี่ยวข้องกับการแขวนป้ายจะถูกลบโดนมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

Re: เบื่อจุงเบย!!! คนรับสมัครงาน มักยกตัวเองว่า"เป็นพี่"

โพสต์โดย เมจิก พี » 05 ก.พ. 2016, 01:45

ต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งว่า เดี๋ยวนี้การรับสมัครเภสัชเข้าทำงานในสถานที่ทำงานหลายๆแห่ง มักจะกำหนดอายุต่ำสุดของเภสัชที่จะรับเเข้าทำงาน แต่ไม่ได้จำกัดอายุสูงสุดของเภสัช แสดงให้เห็นถึงการมีวิสัยทัศน์ของเจ้าของสถานที่ทำงานแห่งนั้น ที่คำนึงถึงวุฒิภาวะ ประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ ความรู้ความสามารถที่ ได้สะสมเพิ่มมากขึ้นตามวันเวลาที่ผ่านไป รวมทั้งความน่าเชื่อถือต่อบุคคลากรในสายตาของผู้บริโภค จึงต้องขอชื่นชมบริษัทเหล่านี้ที่มีนโบายอันเฉียบแหลมและชาญฉลาด เพราะนั่นหมายถึงการดำเนินกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ได้เปรียบคู่แข่งคือพวกหลายๆบริษัทที่ยังมีแนววนโยบาย"กะโหลกกะลา"คือการจำกัดอายุเภสัชไม่ให้เกิน30-35-40ี ปี เพราะการมีบุคคลากรที่มีคุณภาพนั่นหมายถึงโอกาสในการประสบความสำเร็จทางธุรกิจที่เหนือคู่แข่ง"กะโหลกกะลา(แม้บางบริษัทจะมีหัวนอกก็กะโหลกกะลาไม่ต่างจากบริษัทหัวในหลายบริษัท)"ด้านฝ่ายผู้บริโภคเองก็จะได้รับการบริการที่ครบถ้วนและรอบด้านรวมทั้งความมั่นใจในสิ่งที่ได้ ทั้งข้อมูลด้านสุขภาพ การบริบาลต่างๆรวมทั้งยาที่ถูกโรค ถูกอาการ ถูกขนาด ถูกเวลา ไม่แสลงกับประวัติเจ็บป่วยหรือโรคประจำตัวที่มีอยู่ก่อน รวมทั้งสอดคล้องกับสภาวะความเป็นเด็กเล็ก เด็กโต ส.ว(สูงวัย) การตั้งครรภ์ฯลฯอย่างนี้เขาเรียกว่า"WIN-WIN"ครับท่าน.
เมจิก พี
 
โพสต์: 294
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ย. 2012, 15:51







Re: เบื่อจุงเบย!!! หมอฟันค้านกฎหมายต่อใบประกอบวิชาชีพทุก 5 ป

โพสต์โดย เมจิก พี » 25 ก.พ. 2016, 00:42

อ้าว เพือนร่วมห้องPY(นักศึกษาเภสัชปี1)สมัยเรียนคณะวิทย์ด้วยกันเพิ่งจะเริ่มต้น เหรอเนี่ย โอ้โฮ!!!ไม่ทันเพื่อนเภสัชแล้ว เพราะออกมาเป็นกฎหมายบังคับใช้ไปเรียบร้อยอาคาร6ชั้น7สำนักปลัดกระทรวงแล้ว เคยได้ยินข่าวประท้วงของชาวเภสัชเหมือนกัน แต่ไม่ได้ผล ต้องดูเพื่อนทันตะว่าจะประท้วงสำเร็จไหม แต่เชื่อว่าพวกหมอฟัน และหมอทั่วไปมักจะเข้มแข็งในพลังมาก เอาใจช่วยครับ ถ้าทำสำเร็จ คงเป็นประเด็นให้ชาวเขียวมะกอกบางกลุ่ม กลับมาต่อสู้เพื่อยกเลิกกฎหมายนี้กันต่อไป แต่ความยากคือพลังชาวเขียวมะกอก จะเข้มแข็งพอที่จะต่อสู้ในเรื่องนี้หรือเรื่องไหนๆหรือไม่ เอาเป็นว่าพวกเราเลิกทะเลาะกันเองหรือยังก็ไม่รู้??? :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
หมอฟันค้านกฎหมายต่อใบประกอบวิชาชีพทุก 5 ปี | เดลินิวส์
เมื่อวันที่ 24 ก.พ. ที่รัฐสภา เครือข่ายทันตแพทย์ภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศ นำโดยทพ.พิทักษ์ ไชยเจริญ ที่ปรึกษาประธานบริหารโรงพยาบาลวิชัยยุทธ ได้เดินทางมายื่นหนังสือถึง นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.) สาธารณสุข สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) เพื่อคัดค้านร่างพ.ร.บ.วิชาชีพทันตกรรม พ.ศ. ... ที่ให้ต่อใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทันตกรรมทุก 5 ปี โดยทพ.พิทักษ์ กล่าวว่าขณะนี้มีทันตแพทย์ 2,000 กว่าคน เข้าชื่อคัดค้านร่างกฎหมายดังกล่าวแล้ว จะทยอยเข้าชื่อกันมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเห็นว่าร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้กำหนดให้ทันตแพทย์ต้องต่อใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทุก 5 ปี จากเดิมที่ได้ใบประกอบวิชาชีตลอดชีวิต ซึ่งทุก 5 ปี ทันตแพทย์จะต้องเข้าอบรมหลักสูตรตามที่ทันตแพทยสภากำหนดเพื่อนำมาคิดเป็นคะแนน ถ้าใครไม่ผ่านเกณฑ์การอบรมตามที่กำหนดจะไม่ได้ต่อใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ถือเป็นการลิดรอนสิทธิการประกอบวิชาชีพทันตแพทย์ที่มีอยู่ก่อนที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ อีกทั้งทันตแพทย์จำนวนมากไม่ได้รับทราบการทำร่างกฎหมายฉบับนี้ซึ่งอ้างว่าได้ผ่านการทำประชาพิจารณ์จากทันตแพทยสภามาตั้งแต่ปี 2550 ซึ่งมีผู้เข้าร่วมทำประชาพิจารณ์จำนวนน้อยมาก จึงไม่ควรนำมาเป็นมติของทันตแพทยสภา
เมจิก พี
 
โพสต์: 294
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ย. 2012, 15:51

Re: เบื่อจุงเบย!!! หมอฟันค้านกฎหมายต่อใบประกอบวิชาชีพทุก 5 ป

โพสต์โดย เมจิก พี » 25 มี.ค. 2016, 01:49

และแล้วในที่สุด หมอฟันก็ไม่รอดปากเหยี่ยวปากกาเหมือนเภสัชหัวอ่อนSmall power
แต่Biggerในเรื่องตัวใครตัวมัน ติดตามข่าวได้ ณ บัด Now

สนช.ผ่านกฎหมายใบอนุญาตหมอฟันครั้งละไม่เกิน 5 ปี | เดลินิวส์
เมื่อวันที่ 24 มี.ค. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ที่มีนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสนช.คนที่ 1 เป็นประธาน ได้ทำหน้าที่ประธาน ได้ลงมติในวาระ 3 เห็นชอบร่างพ.ร.บ.วิชาชีพทันตกรรม (ฉบับที่...) พ.ศ. ... ด้วยคะแนน 147 เสียง ต่อ 1 เสียง งดออกเสียง 4 เสียง เพื่อให้ประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป โดยมีสาระสำคัญคือเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการทันตแพทยสภาในการออกข้อบังคับเรื่องอายุใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต โดยกำหนดให้ทันตแพทย์ต้องมีใบอนุญาตมีอายุไม่เกิน 5 ปี และต่ออายุได้ครั้งละเท่ากับอายุใบอนุญาตตามที่กำหนดในข้อบังคับทันตแพทยสภา การขึ้นทะเบียน การออกใบอนุญาต การออกหนังสืออนุมัติหรือวุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพทันตกรรมสาขาต่างๆ และหนังสือแสดงวุฒิอื่นในวิชาชีพทันตกรรมให้เป็นไปตามข้อบังคับทันตแพทยสภา และค่าธรรมเนียมท้าย พ.ร.บ.ให้คงค่าต่ออายุใบอนุญาตฉบับละ 4,000 บาท ทั้งนี้ ในส่วนของทันตแพทย์ได้ใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะแผนปัจจุบันสาขาทันตกรรมที่ยังมีผลอยู่ในวันก่อนวันที่พ.ร.บ.นี้ใช้บังคับ ยังคงใช้ได้ต่อไป แต่ต้องมีการศึกษาต่อเนื่องตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขตามข้อบังคับทันตแพทยสภา ซึ่งทันตแพทย์เดิมจะไม่ต้องต่อใบอนุญาต ด้านนพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ สนช.ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า เรื่องนี้มีทันตแพทย์ยื่นหนังสือคัดค้านการต่อใบอนุญาตทุกๆ 5 ปี ซึ่งกรรมาธิการฯ ได้แก้ไขโดยทันตแพทที่มีใบอนุญาตตลอดชีวิตอยู่แล้วจะไม่ได้รับผลกระทบ แต่ทันตแพทย์ที่จะจบการศึกษาหลังจากพ.ร.บ.นี้ประกาศใช้ คือ 180 วัน จะได้ใบอนุญาตมีอายุ 5 ปี และสามารถต่อได้ครั้งละไม่เกิน 5 ปี ส่วนการศึกษาต่อเนื่องของทันตแพทย์ยังมีอยู่ และใช้กับทั้งแพทย์เก่าและแพทย์ใหม่ เพื่อเป็นการเก็บคะแนน โดยที่จะต้องได้ 100 คะแนนใน 5 ปีเพื่อที่จะนำคะแนนมาต่อใบอนุญาต หากทันตแพทย์เก่าได้คะแนนไม่ถึง จะถูกพักใบอนุญาต ส่วนทันตแพทย์ใหม่ถ้าได้คะแนนไม่ถึง จะไม่ได้รับการต่ออายุใบอนุญาตทั้งหมด เพื่อให้ทันตแพทย์ได้ตื่นตัวต่อการหาศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ พัฒนาตัวเองตลอด ซึ่งจะเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคด้วย.

อ่านต่อที่ : http://www.dailynews.co.th/politics/387692
เมจิก พี
 
โพสต์: 294
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ย. 2012, 15:51

Re: เบื่อจุงเบย!!! ทำงานร้านยาในห้าง โปรดไตร่ตรองให้จงหนัก!!

โพสต์โดย เมจิก พี » 12 เม.ย. 2016, 15:17

การเข้าทำงานที่ร้านยาในห้างสรรพสินค้าต่างๆ ห้างเหล่านี้มักมีกฎระเบียบจุกจิกหยุมหยิมมากมายวุ่นวายและฝืนธรรมชาติของการใช้ชีวิตตามปรกติ เช่นห้ามคุยโทรศัพท์โดยเคร่งครัด ห้ามดื่มห้ามทานหน้าร้าน ห้ามเข้าห้องน้ำลูกค้า ห้ามนั่ง ใส่รองเท้าหุ้มส้น ห้ามใส่หูฟัง เป็นต้น บางห้างก่อนเข้าทำงานต้องมีการอบรมกฎเกณฑ์ของห้างก่อนเข้าทำงาน ต้องเสียเงินเข้าอบรมนะไม่ใช่อบรมฟรีและต้องมีผู้จัดการของห้างเซ็นอนุมัติก่อนจึงจะได้เข้าอบรมถ้ามีชื่ออยู่ในแบล๊คลิสต์ก็หมดสิทธิ์ เขาจะมีการเก็บประวัติและถ่ายรูปพนักงานหรือเจ้าของร้านค้าที่เขาตัดสินเอาเองว่าเป็นปฏิปักษ์กับห้างรวบรวมมาจากทุกสาขา โดยเจ้าของร้านค้าเช่าต้องส่งลายชื่อพนักงานรวมทั้งเภสัชไปให้เขาพิจารณาก่อน เมื่อได้เข้าทำงานแล้วระหว่างทำงานก็จะมีเจ้าหน้าที่ของห้างคอยตรวจดูพฤติกรรมพนักงานทั้งของร้านค้าเช่าและของห้างเอง ถ้าใครมีปัญหากับห้างเจ้าหน้าที่ห้างก็จะเชิญไปเข้า"ห้องเย็น"ซึ่งมักตั้งอยู่ที่ชั้นใต้ดินลานจอดรถ โดยด้านหน้า"ห้องเย็น"จะเป็นเหมือนห้องทำงานของพนักงานฝ่ายธุรการของห้าง ส่วน"ห้องเย็น"จะแอบอยู่ชั้นในสุด เอาไว้จัดการกับพนักงานของห้างและร้านค้าเช่าที่มีปัญหากับห้าง การกระทำใดที่เกินกว่าเหตุ แล้วเราแจ้งเจ้าหน้าที่บ้านเมืองในเขตนั้นให้มาจัดการกับห้างเลิกคิดได้ เพราะเขาซี้ปึ๊กกับห้าง เพราะเวลาทางการมีงานอะไรที่ต้องออกสู่สาธารณะก็ได้ห้างในพื้นที่นั้นแหละอำนวยความสะดวกในเรื่องสถานที่ที่จะไปออกบู๊ทโชว์ เขาพึ่งพาอาศรัยกันดีจะตายไป แล้วเรื่องอะไรเขาจะมาทำร้ายมิตรของเขา(อยากรู้ไหมว่าห้างไหน 555555 เขาว่าเจ้าของคนหนึ่งของห้างนี้เคยจบเภสัชนะเป็นผู้หญิงจริงเท็จไม่รู้ เอาเป็นว่าไม่ยืนยันไม่น่าเชื่อถือ555555)
ที่ต้องรู้ไว้อีกเรื่อง สำหรับพวกทำงานห้างคือ "พวกM" เป็นผู้จัดการห้างมักเหน็บอุปกรณ์สื่อสารสีแดง เดินไป-มาแถวพื้นที่ขาย และเข้าประชุมไม่ค่อยเจอตัวในห้องทำงาน พวกนี้มีอำนาจเต็ม จะให้เภสัชหรือใครอยู่ใครไปก็ได้ในสาขาที่ตัวเองดูแล พวกนี้อายุไม่มาก ไม่สนใจว่าแกจะเป็นเภสัชหรือไม่เป็น แต่เขาสั่งให้เภสัชทำโน่นนี่นั่นได้ก็แล้วกัน เขาก็มองว่าเภสัชก็เป็นแค่พนักงานคนหนึ่งไม่ได้แตกต่างจากพนักงานจบอาชีวะจบม.ปลายคนอื่น ดังนั้นเขาไม่ได้เกรงใจเราหรือให้เครดิตเราเหมือนอย่างที่ลูกค้าให้เรา แม้พวกเราบางคนทำงานโรงบาลมีตำแน่งมีลูกน้อง แต่ถ้ามารับจ๊อบที่นี่ คุณต้องเคารพM ต้องเกรงใจM
การทำงานในห้างมีเงื่อนไขและเรื่องราวที่ไม่น่าอภิรมณ์เลย เงินเดือนของเภสัชในห้างก็ไม่ได้วิเศษวิโสไปกว่าเภสัชที่ทำงานนอกห้างและยังมีการห้ามหยุดเสาร์ อาทิตย์ และวันนักขัตฤกษ์อีก ดังนั้น ถ้าจะไปทำงานร้านยาในห้างก็โปรดไตร่ตรองให้จงหนัก!!!!!

:ผู้มีอำนาจ
-ในที่นี้หมายถึง เจ้าของธุรกิจ เจ้าของเงิน ผู้บริหาร หรือคนที่สั่งให้เราซ้ายหันขวาหันได้ หลายๆธุรกิจยาก็จะมีกรอบการทำงาน เป้าหมายและระเบียบปฏิบัติขององค์กรตามที่ผู้มีอำนาจกำหนด แต่ก็มีธุรกิจยาประเภทร้านยาบางแห่ง ปัจจุบันมีแบบนี้หลายร้านที่กำหนดวิธีการทำงานชนิดลงลึกในรายละเอียดวิธีการขายยากับลูกค้าในเคสต่างๆจนสามารถพูดได้ว่า เภสัชที่ไปทำงานด้วยเป็นเสมือนเพียงแค่แขนขาของผู้มีอำนาจในร้านยาเท่านั้นโดยเฉพาะร้านที่มีเภสัชเป็นเจ้าของ ทุกอย่างทุกขั้นตอนในการทำงานและการขายยาเขากำหนดมาหมดแล้ว เราต้องเข้าไปอบรมก่อนจะออกมาทำงาน อาจจะได้คิดตัดสินใจบ้างแต่ไม่บ่อยนักก็อย่างที่บอกไว้แต่แรกว่าเจ้าของร้านที่เป็นเภสัชเขาได้กำหนดวิธีทำงานมาหมดแล้วจากความรู้และประสบการณ์ของเขาจนร่างขึ้นมาเป็นเนื้อหาให้เราได้อบรมก่อนเข้าทำงาน ทุกอย่างเพื่อเป้าหมายคือผลประโยชน์สูงสุดของร้านและการทำงานที่เป็นรูปแบบเดียวกัน แน่นอนเขาเป็นเจ้าของเขาจะทำอย่างไรก็ได้เพราะมันร้านของเขา แต่ก็ยังมีอีกหลายร้านที่ให้อิสระในการทำงานตามวิชาชีพและประสบการณ์ความสามารถของเภสัชแต่ละคนซึ่งมักจะพบได้เป็นส่วนมากในร้านที่ไม่ใช่เภสัชเป็นเจ้าของ ร้านกลุ่มนี้จะแคร์เภสัชมากกกว่าร้านที่เภสัชเป็นเจ้าของเพราะร้านที่เภสัชเป็นเจ้าของเป็นเภสัชเหมือนกันไม่มีไรแตกต่างไม่มีเราเขาก็อยู่ได้ ลูกค้ายังได้ประโยชน์จากเภสัชเหมือนเดิมเพราะเภสัชเป็นเจ้าของ แต่กับร้านที่ไม่ใช่เภสัชเป็นเจ้าของถ้าเภสัชไปทำงานด้วยลูกค้าจะได้ประโยชน์แน่ เจ้าของร้านเขาก็ต้องการเราเพราะเขาไมใช่เภสัช ดังนั้นเขาจึงแคร์เรามาก และไม่มากำหนดโน่นนี่นั่นให้วุ่นวายจนเภสัชไม่มีอิสระทางความคิดและการทำงาน เรี่องการอยู่แบบพี่แบบน้องไม่ต้องมาอ้างกันที่ไหนๆเขาก็อยู่แบบนี้ และถ้าถึงคราวมีปัญหาทางธุรกิจ ความเป็นพี่เป็นน้องก็ช่วยไม่ได้เพราะเจ้าของคงต้องเอาธุรกิจไว้ส่วนพี่หรือน้องเภสัชไปหางานใหม่ทำที่อื่นก่อนนะ55555จะเลือกทำงานกับร้านแบบไหน ถ้าคิดและตัดสินใจได้เอง(มีประสบการณ์จบมาหลายปีแล้ว)หรือยังคิดและตัดสินใจไม่ได้(อาจเพิ่งเรียนจบ)ก็เลือกร้านให้ตรงกับความต้องการนะพี่น้อง
:ตัวถ่วงความเจริญขององค์กร
ชัดๆไม่ต้องเสียเวลาว่าหมายถึงใครอะไรยังไง ตอบแบบฟันเปรี้ยงลงไปเลย ก็คือพวกที่สัมภาษณ์พูดคุยคัดคนเข้าทำงานโดยไม่เคยเห็นหรือให้โอกาสคนที่มาสมัครงานได้แสดงฝีมือเลย และมักจะอ้างวิชาการประสบการณ์หลักการโน่นนี่นั่นแล้วก็สรุปเลยว่าคนนี้เหมาะคนนี้ไม่เหมาะจะมาร่วมงานกับบริษัท ขอเรียกว่าคนสัมภาษณ์พวกนี้"มโน"เอาเองทั้งนั้นจริงก็ได้ไม่จริงก็ได้เพราะมันคือ"มโน" ผู้สมัครหลายๆคนพูดเก่งบ้างไม่เก่งบ้าง(รวมถึงการเขียนเรซูเม่ )เล่าเรื่องหรือลำดับความได้น่าฟังไม่น่าฟังต่างกัน (บางคนเขียนเรซูเม่เล่านิทานได้เก่งมาก)หลายๆเหตุการณ์ที่ผู้สมัครเล่าให้ฟังก็จะเล่าแบบสรุปเฉพาะประเด็นบางประเด็นที่คนสัมภาษณ์ฟังแล้วอาจเห็นว่าในเหตุการณ์ที่ผู้สมัครคนนั้นเล่า ผู้สมัครทำไมทำแบบนั้นหรือทำไม่ถูกในความคิดของผู้สัมภาษณ์ ซึ่งความจริงแล้วในเหตุการณ์มักจะมีรายละเอียดปลีกย่อยหรือตัวแปรตัวบังคับที่ทำให้ผู้สมัครต้องทำแบบนั้นในเหตการณ์นั้น และอาจจะเป็นการกระทำที่ถูกต้องก็ได้ซึ่งเมื่อใครอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นก็ต้องทำอย่างนั้น แม้แต่ตัวผู้สัมภาษณ์ แต่การเล่าเรื่องแบบไม่ให้เยิ่นเย้อหรืออาจจะเล่าไม่เก่งทำให้ผู้สัมภาษณ์"มโน"ไปแบบผิดๆรวมถึงการพิจารณาจากเรซูเม่ คนที่เขียนตามจริงอาจไม่สวยหรูเท่าคนเขียนนิทาน แต่ก็ยังมีคนรับเข้าทำงานให้เขียน"นิทาน"เรซูเม่เล่าประวัติการทำงาน นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของการตัดสินใจที่ผิดพลาดของคนสัมภาษณ์ที่ฟังแต่คำบรรยาย ถ้าคนสมัครคนนั้นได้มีโอกาสแสดงฝีมือการทำงานก็ไม่แน่ว่าสิ่งที่เขาทำอาจทำให้เราต้องยอมรับความสามารถในการทำงานแล้วไม่ต้องไปสนใจสื่งที่เขาเคยเล่า องค์กรอยู่ได้ด้วยผลงานในปัจจุบันครับไม่ใช่เรื่องราวในอดีตของคนมาสมัครงาน ผู้สัมภาษณ์บางคนยังมโนต่อว่า ถ้านิสัยและพฤติกรรมแบบนี้อาจจะทำให้องค์กรเสียหายได้ มโนได้เด็ดขาดจริงๆ คิดไปเรื่อย สถานการณ์สิ่งแวดล้อมและเพื่อนร่วมงานของแต่ละหน่วยงานมันเหมือนกันที่ไหนเล่า อีกอย่างคนเรามันก็ต้องมีการปรับตัวไปตามสภาพแวดล้อมอยู่แล้ว ดังนั้นการคัดคนที่ได้แสดงฝีมือในการทำงานให้เป็นที่ประจักษ์จึงเป็นคำตอบสุดท้าย ส่วนพวกที่ยึดติดกับคำบรรยายแล้วมโนผิดๆซึ่งมีทั้งพวกหัวหงอกหัวดำ กรรมจะตกกับองค์กรท่านเอง
เมจิก พี
 
โพสต์: 294
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ย. 2012, 15:51

Re: เบื่อจุงเบย!!! เภสัชแขวนป้าย แก้ง่ายกว่าปลอกกล้วย:o

โพสต์โดย เมจิก พี » 30 มิ.ย. 2016, 12:50

ได้นำลงในบางเว็บเมื่อคืน(00:30 30/6/59 )บางคนอาจจะผ่านตามาแล้ว วันนี้ขอนำเสนอที่นี่
เภสัชแขวนป้าย แก้ง่ายกว่าปลอกกล้วย


เหมือนปัญหาเด็กแว้น แก้ง่ายมากกกกกกกก คือเพิ่มบทลงโทษ

1.เพิ่มบทลงโทษ ตรวจพบครั้งแรก สภาเภสัช เรียกให้มาชี้แจง

แต่ไม่มาชี้แจงหรือชี้แจงแล้วเหตุผลไม่มีน้ำหนัก ให้พักใช้ใบประกอบตั้งแต่5-10ปี รวมทั้งปรับตั้งแต่2แสนบาทถึง5แสนบาท(แขวนใบ1ปีรายได้จากการแขวนส่วนมากไม่ถึง2แสน)

สรุปว่าต้องรับโทษทั้งเสียค่าปรับและพักใบยาวววววว

2.ตรวจพบครั้งที่2(จะนับเป็นครั้งที่2เมื่อเคยถูกพักใช้ใบมา5-10ปีแล้ว)เรียกให้มาชี้แจงแต่ไม่มาหรือชี้แจงแล้วเหตุผลไม่มีน้ำหนักให้ยกเลิกใบประกอบตลอดชีวิตรวมกับ ปรับ2แสนถึง5แสนบาท

-แล้วหมั่นแจ้งข่าวผ่านสื่อทุกครั้งที่มีการจับ ปรับและพักใช้ใบเพื่อให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องได้รับทราบและอย่าทำ

-อาจมีเจ้าหน้าที่ของรัฐบางส่วนสมยอมที่จะไม่ดำเนินการตรวจจับพวกแขวนใบเพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์หากมีการติดสินบน เพราะบทลงโทษค่อนข้างสูงจึงอาจมีการวิ่งเต้น แต่คงเป็นส่วนน้อย

-ตอนนี้โทษเบา ไม่แก้ไขบทลงโทษให้หนัก เพราะกลัวการลูบหน้าปะจมูก และการถ่มน้ำลายรดฟ้าโดนหน้าตัวเอง ใช่ไหมพวกที่อยู่ในหลืบลึกฝั่งตรงข้ามBigCติวานนท์ 55555555555555555555
เมจิก พี
 
โพสต์: 294
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ย. 2012, 15:51

Re: เบื่อจุงเบย!!! เภสัช"เมิน"ต่ออายุใบฯ

โพสต์โดย เมจิก พี » 26 ส.ค. 2016, 00:52

U10625940-6.jpg
U10625940-6.jpg (29.31 KiB) เปิดดู 4410 ครั้ง
เภสัช"เมิน"ต่ออายุใบฯ
อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ที่จะทำให้มีชีวิตการทำงานที่ดีกว่าทุกวันนี้ ให้ยึด"มายา โมเดล" แต่ถ้าเป็นพวกกลัวโน่นนี่นั่น กลัวสารพัด อย่างนี้ก็อยู่ใต้อำนาจ ใต้กฎเกณฑ์ที่กดเราไว้ ตลอดไปชั่วกาลนาน ก็ยึด"ไทยแลนด์โมเดล"
ในปี2020หรือพ.ศ2563 คงจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สำคัญในวงการยาและสา'สุขไทย เภสัชจำนวนมากที่มีการกระทำบางอย่างตรงกับ"มายา โมเดล" แต่ท่านทำมาก่อน ขอนับถือในการกระทำนั้นซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญหากวันนั้น มาถึง ส่วน"ผู้ไม่กล้า"ตามไทยโมเดล มีเพื่อนผู้กล้ากลุ่มใหญ่มากรอท่านอยู่ You will not walk alone.
(เรื่องสั้นขนาดยาว ไฮไล้ท์อยู่ที่ข้อความที่มีสีอื่นๆนอกจากสีดำ)
บนดินแดนอันสมบูรณ์แห่งหนึ่งของทวีป"ซีเอติค(Ceatic continent )"อันเป็นเขตของสาธารณรัฐประชาธิปไตย มายา(Democratic Republic of the Maya)
ที่นี่ก็เหมือนประเทศอื่นที่เจริญแล้วคือมีการเรียนการสอนทางด้านเภสัชศาสตร์ (โดยจะมีการคัดนักศึกษา จากการสอบรวมกับสายทางการแพทย์อื่นๆ นักศึกษาจะเลือกได้เพียงคณะเดียว ถ้าสอบไม่ได้หรือสละสิทธิ์ ก็ยังมีโอกาสไปสอบคัดเลือกในสายอื่นในสัปดาห์ต่อๆไปของเดือนมิถุนายนของทุกปี ถ้าสอบเข้ามหา'ลัยรัฐไม่ได้เลย ก็ไปเข้าของเอกชน และทุกคนที่ยังสอบเข้ามหา'ลัยของรัฐไม่ได้ จะมีสิทธิ์สอบได้อีกเพียง1ครั้งภายใน2ปีถัดไป เพื่อให้นักศึกษาไม่ต้องมาเสียเวลากับการสอบเข้า)
คณะเภสัชที่นี่ หลักสุตร4ปี ปีที่1จะเรียนเตรียมเภสัชฯ เมื่อจะขึ้นปี2 จะใช้ข้อสอบกลาง ที่ออกโดยตัวแทนอาจารย์ของคณะเภสัชทั่วประเทศ และสอบพร้อมกันทุกคณะเภสัชของแต่ละมหา'ลัย เด็กที่สอบไม่ผ่านต้องกลับไปเรียนปี1ใหม่ และถ้ากลับมาสอบใหม่ยังไม่ผ่านอีกจะถูกเชิญออก( ถ้ายังมีสิทธื์สอบเข้าใหม่ก็ไปสอบ แต่จะหมดสิทธิ์สอบเข้าเรียนคณะที่ตัวเองถูกให้ออก หรือไปเข้ามหา'ลัยเอกชน) ปี2-4จะเรียนเภสัชศาสตร์ ในการสอบจากชั้นปี2ขึ้นปี3 และจากชั้นปี3ขึ้นปี4 แต่ละมหา'ลัยจะจัดสอบกันเอง ถ้าสอบเลื่อนชั้นไม่ผ่าน2ปีติดต่อกันก็จะถูกเชิญออก
ตอนจบหลักสูตร สอบเพื่อให้ได้ปริญญา จะใช้ข้อสอบกลางที่ออกโดยตัวแทนอาจารย์ของคณะเภสัชทั่วประเทศ และสอบพร้อมกันทุกคณะเภสัชของแต่ละมหา'ลัย นักศึกษาที่สอบเพื่อจบแต่สอบไม่ผ่าน2ปีติดต่อกันต้องถูกเชิญออก อาจจะไปเรียนสถาบันเอกชนเพื่อให้ได้ใบจบ จากนั้นอีก1เดือนถัดไปจะมีการสอบเพื่อให้ได้ Pharmacy license ซึ่งดำเนินการโดย "คณะกรรมการกลางกำกับดูแลเภสัชกรแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยมายา"Central Board of Pharmacist Regulatory Authority of Democratic Republic of the Maya.ผู้ที่จบเภสัชในประเทศ หรือจากประเทศอื่นหลังจากทำเรื่องกับ"คณะกรรมการกลางฯ ก็มาร่วมสอบพร้อมกันเพื่อให้ได้ Pharmacy license
ที่นี่ยังมีการเปิดคอร์สศึกษาเพิ่มเติมเพื่อเป็นผู้ชำนาญการทางด้าน โรงพยาบาล ร้านยา การเป็นSpecialistด้านยาเฉพาะโรค การศึกษาด้านบริหารจัดการร้านยาอย่างมืออาชีพ การเรียนรู้ด้านการบริหารงานและบุคคลากรในหน่วยงานที่เกี่ยวกับยา การต่อยอดความรู้และฝึกปฏิบัติงานจริงทางด้านการผลิต พัฒนา วิเคราะห์ และวิธีการสร้างMaster Formular ใหม่ๆ การศึกษาเทคโนโลยี่ใหม่ๆทางด้านอุตสาหกรรม ยา เวชสำอางค์ อาหาร เครื่องดื่ม เป็นการเรียนต่อยอดภาคทฤษฎี5เดือน ภาคปฎิบัติ7เดือน ค่าใช้จ่ายตลอดหลักสูตร30,000เหรียญมายา(ประมาณ2แสนบาทไทย) ใครจะเข้าคอร์สก็ได้ไม่บังคับ ผู้ที่จบคอร์สนี้ เมื่อเข้าทำงานจะมีเงินเดือนเริ่มต้นที่มากกว่าพวกเรียน4ปีประมาณ30-40%และมีสิทธิ์ก้าวขึ้นเป็นหัวหน้างาน ไม่จบคอร์สนี้เป็นหัวหน้าไม่ได้
"กรมมาตรฐานสุขภาพ"The Department of Health standards เป็นผู้ออกกฎหมาย กำหนดให้สถานที่จ่ายยา ขายยา สถานที่ผลิตยา วัตถุเกี่ยวกับยาหรือออกฤทธิ์เหมือนยา กิจการงานที่เกี่ยวเนื่องกับยา ต้องรับเภสัชกรที่มี Pharmacy license เท่านั้นเข้าทำงาน ทุกแห่งต้องมีเภสัชกรที่มี Pharmacy licenseตามจำนวนที่กำหนด
เภสัชกรที่มี Pharmacy license สามารถประจำการได้มากกว่า1แห่งในช่วงเวลาที่ไม่ซ้ำซ้อนกัน แต่จะประจำการที่ใดที่หนึ่งก็ได้ แต่เมื่อคณะกรรมการกลางฯไปตรวจต้องแสดง Pharmacy license ได้
"คณะกรรมการกลางฯ "ได้กำหนดให้ทุก3ปี มีการตรวจสอบความรู้เพื่อรักษามาตรฐานความรู้ของเภสัชกร โดยแบ่งการสอบเป็น2ส่วน ส่วนที่1ทำข้อสอบ100ข้อ และส่งคำตอบ on line ภายใน1เดือน ส่วนที่2หาบทความวิชาการตามที่กำหนดมาอ่านจำนวน5บทความ แล้วเก็บใจความสำคัญตามที่กำหนด ในแต่ละบทความที่อ่านเสร็จ ให้ตั้งคำถาม10ข้อพร้อมคำเฉลย ส่งรายงานon line ภายใน3เดือนของปีที่มีการสอบความรู้ คะแนน2ส่วนรวมกันต้องได้ขั้นต่ำ80จึงจะเป็นผู้สอบผ่าน และมีสิทธิ์ใช้ Pharmacy licenseได้อีก3ปีถัดไป ถ้าได้คะแนนไม่ถึง80%หรือไม่เข้ารับการตรวจสอบความรู้ จะถูกพักใช้ Pharmacy license3ปี

ในระยะแรกที่มีข้อบังคับนี้ออกมา เภสัชกรจากหลายเขตปกครองของประเทศไม่เห็นด้วย ได้ยื่นข้อท้วงติงไปยัง"คณะกรรมการกลางฯ " แต่ไม่ได้รับการตอบสนองใดๆ ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามข้อบังคับที่วางไว้
เมื่อผ่านไป 1รอบระยะเวลาบังคับ ผลปรากฎว่ามีเภสัชกรประมาณ5-6พันคน(จากจำนวนทั้งหมด6หมื่นคน)หรือประมาณ8-10%ไม่ผ่านการตรวจสอบความรู้ กลุ่มเดิมที่เคยไม่เห็นด้วยแต่แรก ได้ยื่นเอกสารท้วงติงอีกครั้งว่า การตรวจสอบความรู้ไม่ผ่าน ไม่ควรจะถูกพักใช้ใบ Pharmacy License เพราะไม่ใช่การทำผิดร้ายแรง เกี่ยวกับชีวิต จรรยาบรรณ ความมั่นคงของประเทศ อาชญากรรม ศาสนาและศีลธรรม รวมทั้งการให้ร้ายองค์กรที่ตนเองสังกัดอยู่ จนเสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างมาก และก่อนที่จะถูกพักใช้Pharmacy License เภสัชกลุ่มนี้ ก็ยังปฏิบัติหน้าที่ตามความรู้ความสามารถได้ดี ไม่มีอะไรบกพร่อง และทำงานร่วมกับบุคลากรสายการแพทย์อื่นๆได้เป็นอย่างดีและ เป็นที่ยอมรับอีกด้วย จึงไม่เป็นธรรมกับเภสัชกรกลุ่มนี้หรือเภสัชกรคนอื่นๆที่ยังคงมีความรู้ความสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นปรกติ แต่ต้องมาถูกพักใช้ Pharmacy Licenseตามกฏข้อบังคับนี้ เภสัชกรกลุ่มที่ท้วงติงต้องการให้เปลี่ยนข้อบังคับมาเป็นการสมัครใจ โดยเป็นการเชิญชวนให้มาร่วมทดสอบความรู้ โดย"คณะกรรมการกลางฯ" จะมอบ ใบประกาศที่รับรองการผ่านการตรวจสอบความรู้จาก"คณะกรรมการกลางฯ"และสามารถนำไปประชาสัมพันธ์ในร้านหรือหน่วยงานของตัวเองได้ และ"คณะกรรมการกลางฯ" ควรจะขอความร่วมมือให้หน่วยงานทางด้านเภสัชกรรมทุกหน่วย ใช้ใบประกาศฯมาประกอบการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งหรือขั้นเงินเดือนให้เภสัชกรร่วมกับเงื่อนไขอื่นๆของหน่วยงาน
"คณะกรรมการกลางฯ"ได้ตอบกลับมาว่า
การจัดให้มีการตรวจสอบความรู้ เพื่อให้เภสัชกรทุกคนที่ผ่านการตรวจสอบความรู้ มีมาตรฐานความรู้ตามที่กำหนดและเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ มีหลักฐานที่สามารถตรวจสอบและนำเสนอต่อสาธารณะได้ การที่เภสัชกรมีการเพิ่มเติมความรู้ของตัวเองเป็นประจำเป็นเรื่องที่ดี แต่การที่ได้ถูกตรวจสอบความรู้ก็เพื่อเป็นการยืนยันมาตรฐานความรู้ของตัวเภสัชกรเอง จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องถูกตรวจสอบ ส่วนการจะให้ยกเลิกข้อบังคบมาเป็นการเชิญชวนให้มาเข้ารับการตรวจสอบความรู้ก็เป็นข้อเสนอที่ดี แต่การกำหนดให้เป็นข้อบังคับและมีการสั่งพักใช้ Pharmacy license ก็เพื่อให้เภสัชกรทุกท่านมีความมุ่งมั่นและจริงจังในการรักษามาตรฐานของวิชาชีพ อันจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเภสัชกรเองและผู้อื่นที่ต้องเกี่ยวข้องกับเภสัชกรทางด้านเภสัชกรรม การที่จะให้ผู้ที่ไม่ผ่านการตรวจสอบความรู้ ยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปโดยไม่พักการใช้ Pharmacy licenseนั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ เพราะเมื่อไม่ผ่านมาตรฐานความรู้ตามที่กำหนด จะยอมให้เภสัชกร ใช้Pharmacy license ต่อได้อย่างไร "
หลังจากได้รับคำชี้แจงแล้ว เภสัชกรกลุุ่มนี้ยังเห็นต่างและได้ทำหนังสือทักท้วงอีกว่า "คณะกรรมการกลางฯ"ยึดถือกฏระเบียบในเรื่องการตรวจสอบความรู้มากเกินไปจนอาจลืมคิดไปว่า ความรู้ที่แท้จริงและถูกต้องสมบูรณ์มันต้องยืนยันด้วยการปฏิบัติและผลลัพธ์ของการปฏิบัติตามความรู้นั้น ซึ่งทางกลุ่มได้บอกไปแล้วว่า เภสัชกรกลุ่มที่ถูกพักPharmacy licenseสามารถปฏิบัติหน้าที่ตามความรู้ความสามารถได้ดี มีการอบรมความรู้ตามที่แต่ละหน่วยงานจัดให้มีหรือส่งไป รวมทั้งทบทวนหรือหาความรู้ที่เกี่ยวข้องกับงานในหน้าที่ของตัวเอง และทำงานร่วมกับบุคลากรสายการแพทย์อื่นๆได้เป็นอย่างดีและ เป็นที่ยอมรับอีกด้วย เพราะไม่เช่นนั้นแล้วคงต้องถูกประชาชนหรือผู้เกี่ยวข้อง ร้องเรียนหรือกล่าวโทษ รวมทั้งองค์กรที่เภสัชกรทำงานอยู่คงไม่ปล่อยให้เภสัชกรที่ทำงานผิดพลาดไม่ได้มาตรฐานขององค์กรได้ทำงานต่อแน่" ด้านคณะกรรมการกลางฯ"ได้ตอบกลับมาโดยบอกว่าคำชี้แจงในหนังสือตอบกลับครั้งก่อน ชัดเจนแล้วยืนยันคำชี้แจงเดิม
เมื่อเป็นอย่างนั้น เภสัชกรกลุ่มนี้ หลังจากได้ประชุมหารือ กันเองและกับเภสัชกรกลุ่มอื่นๆ ทั่วทุกเขตปกครองของประเทศได้ข้อสรุปว่า
ในรอบนี้กลุ่มเภสัชกรประมาณ4.8หมื่นคน(ทั่วประเทศมีเภสัชกรประมาณ6หมื่นคน)จะเข้าร่วมกันดำเนินการเพื่อให้มีการยกเลิกข้อบังคับของคณะกรรมการกลางฯ โดยจะแบ่งกลุ่มเภสัชกร เป็น2กลุ่ม กลุ่มแรกประมาณ3.5หมื่นคน จะไม่เข้ารับการตรวจสอบเพื่อต่อ Pharmacy License กลุ่มที่2ประมาณ1.3หมื่นคน กลุ่มนี้คัดเฉพาะเภสัชที่เป็นเจ้าของธุรกิจเกี่ยวกับยา และหัวหน้าหรือผู้มีอำนาจในหน่วยงานหรือองค์กร เกี่ยวกับสถานพยาบาล โรงงานผลิต ยาหรืออื่นๆที่ต้องมีต้องมีเภสัชกรทีมี Phamacy License เภสัชกลุ่มนี้ยังคงเข้ารับการตรวจสอบเพื่อต่อ Pharmacy License เพื่อเอาไว้เป็นแหล่งงานรองรับกลุ่มที่ไม่ต่อ Pharmacy License ในกรณีที่การดำเนินการเพื่อให้มีการยกเลิกข้อบังคับของคณะกรรมการกลางฯ ไม่ประสบความสำเร็จ จะได้รับเภสัชเข้ามาทำงานในหน้าที่"ผู้ปฏิบัติงานเภสัชกรรม"(ไม่ใช่ตำแหน่งเภสัชกรและไม่ใช่ตำแหน่งผู้ช่วยเภสัชกร)
เมื่อครบรอบระยะเวลาที่2 เภสัชกรที่ยังต่ออายุPharmacy License ได้เหลืออยู่ประมาณ 2.3หมื่นคน อีก3.7หมื่นคน(รวมผู้ที่ไม่ผ่านการตวจสอบกับผู้ที่คัดค้าน) ไม่สามารถต่ออายุ Pharmacy License จึงทำงานไม่ได้ตามกฎหมายที่ออกโดยกรมมาตรฐานสุขภาพ

ความโกลาหลวุ่นวายจึงเริ่มต้นขึ้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางด้านยาและต้องมีเภสัชกรที่มีPharmacy License เกิดสะดุด ขลุกขลัก หรือต้องยุบรวมหน่วยงานย่อยๆที่ไม่มีเภสัชกรที่มีPharmacy Licenseให้มาอยู่รวมกับหน่วยงานใหญ่ที่ยังพอมีเภสัชกรที่มีPharmacy License แต่หลายหน่วยงานทางด้านยาโดยเฉพาะของเอกชน ถึงกับต้องปิดหน่วยงานกันเลยทีเดียว สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนจำนวนมากในทุกเขตปกครองของประเทศที่ต้องมารับบริการด้านเภสัชกรรม เพราะต้องคอยการรับบริการนานจนถึงขนาดต้องเลื่อนการมารับบริการออกไปตามความเหมาะสม หรือยกเลิกการให้บริการไปเลย ทำให้ประชาชนต้องเสียเวลา เสียโอกาสการที่จะได้รับบริการทางเภสัชกรรม และเสียความรู้สึกเป็นอย่างมาก รวมถึงผู้อื่นที่ต้องติดต่อ ร่วมงานหรือประสานการทำงานกับเภสัชกรในด้านอื่นๆก็ต้องหยุดชะงักไปด้วย ประชาชนชาวมายาในหลายเขตการปกครองได้เข้าร้องเรียนถึงปัญหาที่กำลังประสบอยู่กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแต่ยังแก้ไขไม่ได้ เพราะมันติดที่กฎข้อบังคับและกฎหมายที่เภสัชกรจำเป็นต้องปฎิบัติตาม และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ความเดือดร้อนวุนวายต้องมาถึงองค์กร และเจ้าของธุรกิจอีกหลายแห่ง แต่มีบางแห่งของทั้งทางการและเอกชนยังเปิดอยู่โดยไม่มีเภสัชกรที่มีPharmacy License ปฎิบัติงาน กลุ่มเภสัชกรผู้คัดค้านซึ่งได้คาดการณ์ไว้แล้วในคราวที่ประชุมวางแผน และได้ส่งเภสัชกรหลายคนไปเฝ้าสังเกตการณ์ ในหลายที่ทำการเกี่ยวกับยา จึงได้ดำเนินการแจ้งความและชี้ให้ตำรวจในเขตปกครองนั้นๆเข้าตรวจสอบและสั่งให้ปิดการทำงาน
เหตุการณ์วุ่นวายแบบนี้คณะผู้บริหารประเทศจะปล่อยให้ยืดเยื้อยาวนานไม่ได้เพราะมันเกี่ยวข้องกับชีวิตและสุขภาพของประชาชน รวมถึงความสงบเรียบร้อยของประเทศด้วย
ประธานาธิบดีของสาธารณรัฐ ประชาธิปไตยมายา ได้สั่งประชุมคณะผู้บริหารประเทศอย่างรีบด่วนใน2วันถัดมา ได้ข้อสรุปว่า

-ให้ยกเลิกกฎข้อบังคับที่ให้มีการตรวจสอบความรู้และสั่งพักใช้Pharmacy License หากการตรวจสอบไม่ผ่านหรือไม่เข้ารับการตรวจสอบความรู้
-ให้ยุบ"คณะกรรมการกลางกำกับดูแลเภสัชกรแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยมายา"Central Board of Pharmacist Regulatory Authority of Maya "เพราะออกกฏระเบียบโดยขาดการพิจารณาให้รอบด้านทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก เป็นการทำลายความสงบสุขของประชาชนในประเทศ ถือว่าเป็นความผิดขั้นร้ายแรง
-ให้ดำเนินคดีในเรื่องการเป็นต้นเหตุของการทำให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย กับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกระดับที่เป็นผู้ร่วมออกกฎข้อบังคับให้มีการรตรวจสอบความรู้และสั่งพักใช้Pharmacy License หากการตรวจสอบไม่ผ่านหรือไม่เข้ารับการตรวจสอบความรู้
-ให้Pharmacy License ของเภสัชกรทุกคนที่ถูกสั่งพักเพราะกฎข้อบังคับนี้ ยังใช้งานได้ต่อไป
-การออกกฎระเบียบข้อบังคับใดๆที่มีผลต่อสถานะภาพทุกด้านของเภสัชกร ขอให้มีตัวแทนของเภสัชกรทุกสาขาวิชาชีพ เข้าร่วมการออกกฎระเบียบด้วยทุกครั้ง
-การสั่งพักหรือยกเลิกPharmacy License ให้ใช้เฉพาะการทำผิดจรรยาบรรณขั้นร้ายแรงหรือต้องโทษจำคุกในคดีอาญาที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพเภสัชกรรม(ซึ่งคณะกรรมการกลางฯชุดใหม่และตัวแทนของเภสัชกร จะประชุมเพื่อกำหนดรายละเอียดต่อไป)
หลังจากผลการประชุมได้ประกาศออกไป พร้อมๆกับการดำเนินการของเจ้าหน้าที่และผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการกลับมาทำหน้าที่ของเภสัชกร ความเป็นปรกติก็กลับมาเกิดขึ้นอีกครั้งกับประชาชนที่ต้องมาใช้บริการเภสัชกรรมและกับผู้ที่ต้องอยู่ในแวดวงนี้ ต่อไป...

กลับมาที่บ้านเรา เมื่อได้อ่านแล้ว อาจจะทำให้ใครเกิดความคิดอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง หรือไม่ได้คิดอะไรเลย บางคนยัง"พึงพอใจ"แต่บางคนก็"หนักใจ" และก็มีบางคนที่"จำใจ"ต้องทำเพื่อต่อลมหายใจ กับกิจกรรมบางอย่างที่ต้องทำทุกเดือนเพื่อให้ได้แต้ม แห่กันมามืดฟ้ามัวดิน เพื่อมาเอาแต้มเหมือนคนอพยพหนีตายจากภัยสงคราม ต้องจองที่นั่ง ต้องโอนตังก่อน บางที่เขาว่าโอนแล้ว"ไม่มีคืนเงินกลับ"ในทุกกรณี(จะคืนหรือไม่คืน ในทางกฎหมายต้องมาพิจาณากันอีกที จะมโนเองฝ่ายเดียวไม่ได้ อาจเข้าความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายฐานความผิด ซึ่งแต่ละฐานมีความแตกต่างกันแต่ก็มีพื้นฐานมาจากการยักยอกทรัพย์เช่นเดียวกัน
1. ความผิดฐานยักยอกม. 352
2. ความผิดฐานยักยอกทรัพย์สินที่ผู้อื่นส่งมอบให้โดยสำคัญผิดหรือทรัพย์สินหาย ม.352 วรรคสอง
3. ความผิดฐานยักยอกทรัพยที่ตนมีหน้าที่ดูแล ม. 353

4. ยักยอกทรัพย์สินที่มีค่าที่ซ่อนหรือฝังไว้ ม. 355)
ต้องกุลีกุจอมาลงชื่อ ทั้งเข้าและออกมารุมมาตุ้มกันเหมือนมารับของแจกงาน"วันทิ้งกระจาด" มีอาการปริวิตกอย่างมาก เมื่อมาลงชื่อเพื่อจะเข้าและออกหลังจากเสร็จการประชุม แต่หาชื่อตัวเองไม่เจอ เขาจะกำหนดกฎระเบียบอะไรมา ยอมทั้งนั้นขอให้ได้แต้มเพิ่มก็ดีใจแล้ว อยู่ในอำนาจเขา ก็ต้องยอมเขาทุกอย่าง(ก่อนหน้านั้นมีอิสระเสรี) มีข่าวจากแหล่งข่าวแจ้งมาว่า อีกหน่อยจะใช้ E-Payment มาใช้จ่ายค่าจองที่นั่ง ในการทำE-Paymentเพื่อจองที่นั่ง แหล่งข่าวบอกว่า คนที่จะจองที่นั่งต้องมีเครื่องพิมพ์ที่ต่อเข้ากับคอมพ์หรือโน้ตบุ๊ค เพื่อใช้พิมพ์เอกสารบางอย่างจากเวบไซท์ของสมาคมวิชาชีพ(ที่เขาจัดงานเพื่อให้เราได้แต้ม) แล้วนำเอกสารนั้นไปที่ธนาคารอีกที คนที่มีเครื่องพิมพ์ไว้ใช้งานอยู่แล้วคงไม่มีปัญหาอะไร แต่คนที่ไม่มีเครื่องพิมพ์ เพราะปรกติไม่มีเรื่องต้องพิมพ์ ก็ต้องลงทุนไปซื้อเครื่องพิมพ์มา เพื่อพิมพ์เอกสารเดือนละครั้งช่างคุ้มค่าจริงๆๆๆๆๆโอ้โห!!!อยากได้แต้มต้องลงทุนสารพัด แต่อันนี้มันเป็นข่าวจากแหล่งข่าว อาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือออกมาชี้แจง ขยายความก็ดูกันต่อไป การที่คนมาร่วมกิจกรรมมากันเยอะแยะมากมาย จะเป็นที่ถูกใจ พอใจของพวก"ผู้มีอำนาจ"หรือไม่ ไม่ทราบ แต่ถ้าเศร้าใจก็คงแปลก
ใครอยากรู้แต้ม ต้องขอรหัสเพื่อเอาไว้ดูแต้ม โดยต้องส่งสำเนาบัตรประชาชนไปให้คนของพวก"ผู้มีอำนาจ" อยากรู้แต้มก็ต้องส่งไม่มีปัญหาและไม่กลัวใครทุจริตก๊อปปี้เอาสำเนาบัตรประชาชนของเราไปใช้ให้เราเสียหาย(มีเรื่องเสียหายแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยมาก)"ผู้มีอำนาจ"ยืนยันว่าไม่มีใครทุจริต แต่ถ้ามี ใครจะรับผิดชอบแทนเรา คนที่ยืนยัน นั่งยันเหรอ เหตุการณ์ความเสียหายยังไม่เกิด คนพวกนี้จะยืนยันเสียงแข็งมาก ว่าไม่มีการทุจริตก๊อปปี้เอาสำเนาบัตรประชาชนของเราไปใช้ เอาไว้ถ้าเหตุการณ์มันเกิดแล้ว ขอให้เสียงแข็งแสดงความรับผิดชอบด้วย (มีผูู้รู้แนะนำว่า" สำเนาบัตรประชาชน เป็นเอกสารสำคัญ อย่าส่งไฟล์ให้คนที่ไม่รู้จักนะครับ ถ้าจำเป็นจะต้องส่ง อย่างน้อยต้องทำดังต่อไปนี้

- ลบหมายเลขบัตรประชาชนออก
- ลบบาร์โค้ด ทางด้านซ้ายมือออกให้หมด
- ลบวันเดือนปีเกิดออกให้หมด
- ทำตัวขีดคล่อมตัวใหญ่ ๆ พาดผ่านบัตร ว่าใช้เพื่ออะไร"
สรุปว่าถ้าทำตามนี้ ผู้มีอำนาจ จะยอมหรือวะ )
"ผู้มีอำนาจ"ยังบอกว่าจะแจ้งผลว่าใครจะต่ออายุใบฯได้หรือไม่ได้ เมื่อครบรอบระยะเวลาที่กำหนด แต่ก่อนที่จะครบรอบระยะเวลา ไม่ปรากฏว่าจะมีการแจ้งเตือนว่าใครอยู่ในโซนสีแดง สีเหลืองหรือสีเขียว เพื่อให้คนที่อยู่ในโซนอันตรายได้ปรับตัวเพื่อเก็บแต้มให้ครบ ผู้มีอำนาจมองว่า มีรหัสให้เข้าไปดูแต้มอยู่แล้วต้องรับผิดชอบตัวเอง นี่เรียกว่าใครเผลอจบข่าวเลย นี่เขาทำกันแบบนี้!!!ต้องรับผิดชอบตัวเอง เขาไม่เตือน(ฆ่าได้ฆ่าหรือไม่ ไม่รู้) แหล่งข่าวที่เคยสนทนากับผู้มีอำนาจคนหนึ่งเล่าว่า ผู้มีอำนาจอาจจะมีกฎระเบียบให้มีการแจ้งเตือนในภายหลังก็ได้ เพราะมันเป็นเรื่องใหม่ ตอนนี้มันยังไม่มีใครร้องเรียนเข้ามา จึงยังไม่มีกฎระเบียบการแจ้งเตือนก่อนครบรอบระยะเวลา อ้าว! แล้วที่พวกมีอำนาจออกกฏระเบียบให้มีการต่อหรือพักใช้ใบอนุญาตทุกรอบระยะเวลาที่กำหนด มีใครร้องเรียนเข้าไปเหรอครับ ถึงต้องออกกฎระเบียบข้อบังคับแบบนั้น
มีเพื่อนหลายท่านเล่าให้ฟังว่า ยุคที่ยังไม่มี "ผู้มีอำนาจ" มีกลุ่มเคลื่อนไหวกลุ่มหนึ่งให้ข้อมูลว่า พวกเราควรที่จะต้องมีตัวแทนที่จะมาดูแลและช่วยเหลือพวกเรากันเองในเรื่องที่เกี่ยวกับวิชาชีพ พวกเราต้องเคลื่อนไหวร้องเรียนต่อหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพของเรา ให้ออกกฎหมายที่ให้พวกเราสามารถเลือกตัวแทนที่จะมาทำหน้าที่ดูแล ช่วยเหลือ หรือทำหน้าที่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของพวกเราด้วยกัน เขาและเพื่อนๆต่างก็สนับสนุนและร่วมเคลื่อนไหว เพื่อให้มีตัวแทนของพวกเรา ด้วยความที่เชื่อในข้อมูลของกลุ่มที่เคลื่อนไหวกลุ่มนั้น หลังจากที่มีกลุ่ม"ผู้มีอำนาจ"เกิดขึ้นเขาและเพื่อนๆรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก ที่ตัวแทนของพวกเราซึ่งก็คือ "ผู้มีอำนาจ" ไม่ได้ทำหน้าที่อย่างที่กลุ่มเคลื่อนไหวบอก เขารู้สึกเสียใจและขอโทษรุ่นน้องๆที่เขาและเพื่อนๆมีส่วนสนับสนุนให้มีกลุ่ม"ผู้มีอำนาจ" เพราะ" ผู้มีอำนาจ"มักออกแต่กฏระเบียบที่เอาไว้"จัดการพวกเราด้วยกันเอง" นี่ไม่ว่ากัน แต่ในด้านส่งเสริมสนับสนุนสวัสดิการ คุณภาพชีวิต(พวกเราไม่ได้มีฐานะทุกคน) ไม่เคยเห็น การทำให้พวกเราสามารถขายยาบางประเภทได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ ไม่เคยเจอ การทำให้พวกเรามีเงินเดือน(ไม่ว่าจะเรียน5-6ปี)ทางราชการที่เทียบเท่าบุคคลากรสายเดียวกันที่ใช้เวลาเรียนเท่ากัน ไม่เคยพบ ฯลฯ แต่กฎระเบียบที่ออกมาควบคุมพฤติกรรม จรรยาบรรณ และรักษามาตรฐานวิชาชีพ พบเห็นจนระอา จะอ้างว่า ไม่มีกฎระเบียบ กฎหมายรองรับให้ทำแบบนั้น ก็ไปทำให้มันมีสิ ทีกฎระเบียบที่ออกมา"จัดการพวกเรา"ยังมีกฏหมายมารองรับได้ แล้วเรื่องที่บอกไว้ข้างต้นทำไมไม่ทำให้มีกฏหมายมารองรับบ้าง ถ้ามีความมุ่งมั่นที่จะทำ เพื่อประโยชน์ของพวกเราที่เป็นคนเลือกพวก"ผู้มีอำนาจ"เข้าไป ยังไงมันก็หาทางทำให้ได้ แต่ถ้าไม่ได้มีความมุ่งมั่น ก็จะอ้างโน่นนี่นั่นมันเรื่อยไปว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่ได้ ถ้าพวกผู้มีอำนาจ ยังยืนกรานที่จะทำหน้าที่แบบเดิม ๆก็ต้องย้อนกลับมาที่พวกเราหลายหมื่นคนว่า ถ้าท่านยังพอใจกับการกระทำแบบเดิมๆของพวกผู้มีอำนาจก็ให้การสนับสนุนกันต่อไป แต่ถ้าพวกท่านไม่พอใจและเห็นว่าผลงานการกระทำของพวกผู้มีอำนาจไม่ตอบโจทย์ความต้องการของพวกเรา ก็รวมตัวกันให้มากๆแล้ว"คว่ำบาตร"คนกลุ่มนี้ ไม่สนับสนุน ไม่ทำตาม หรือจะทำอะไรก็ได้ให้มันเข้มข้นกว่านี้ ก็จัดไปเลย เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจนได้การทำงานและผลงานที่ตอบโจทย์ความต้องการของพวกเรา
บางคนอาจแย้งว่าถึงพวกเรารุ่นก่อนๆไม่สนับสนุนให้มี"ผู้มีอำนาจ"ยังไงๆก็ต้องมี"ผู้มีอำนาจ" จะบอกแบบนั้นก็ได้ เพราะปัจจุบันมันมีผู้มีอำนาจเกิดขึ้นมาแล้ว แต่ถ้าก่อนหน้านี้พวกเราทุกคนรู้ความจริงว่า การมี"ผู้มีอำนาจ"แล้วจะเป็นแบบนี้ ก็ไม่แน่ว่าจะมี"ผู้มีอำนาจ"เกิดขึ้นหรือไม่ หรือถ้ามีเกิดขึ้นได้ กฏระเบียบมันต้องมีประโยชน์และมีคุณกับพวกเรามากกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
"การรวมตัวกันเป็นอันหนี่งอันเดียวกัน เพื่อทำการบางอย่าง และทำอย่างมีแผนงานที่เป็นไปได้ เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นใครจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไรหรือจะรออะไรหรือจะไม่รออีกต่อไป ...ทุกคนย่อมรู้อยู่แก่ใจ แต่สิ่งที่ไม่รอใครนั่นก็คือ"โอกาส" ดังนั้นถ้าไม่อยากเสียโอกาส จะคิดจะทำอะไร ก็จัดการอย่างมีระบบเสียแต่เนิ่นๆ เมื่อโอกาสมาถึง จะได้คว้าไว้ได้ทันและทำได้ดีสมความตั้งใจ
ข้อสรุปง่ายๆของเรื่องนี้ก็คือ ทุกคนต้องทำตามกฎหมาย แต่จะทำตามกฎหมายแบบใด "ไปรับของแจกงานวันทิ้งกระจาด" หรือ"ใช้ความสงบ สยบความเคลื่อนไหว" พวกเราจะทำตามกฏหมายแบบไหน
ชอบความเหน็ดเหนื่อยวุ่นวาย หรือชอบความสบายๆแต่ต้องมีความมุ่งมั่นแน่วแน่มั่นคง รวมกลุ่มกันได้มากพอสมควร และมีแผนงาน จะเป็นแบบไหน อีกไม่นานเกินคอย คงจะได้รู้กัน

ผู้คร่ำหวอดในวงการยาท่านหนึ่งให้ความเห็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับเภสัชกรบ้านเราว่า"เภสัชไทยไม่ค่อยมีพลัง ไม่สามารถรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนใหญ่เพื่อทำกิจกรรมบางอย่าง อาจจะได้แค่กลุ่มย่อยๆไม่กี่ร้อยคน ความสามัคคีในหมู่เภสัชต้องใช้แว่นขยายส่องหา เภสัชไทยให้ความสำคัญกับเรื่องของตัวเองมากกว่า ไม่ค่อยสนใจที่จะมารวมตัวเคลื่อนไหวหรือทำกิจกรรมเพื่อประโยชน์ของหมู่คณะหรือของส่วนรวมหรือของประชาชน จะมีบ้างก็เป็นกลุ่มย่อยๆอย่างที่บอกไว้ตอนต้นและเป็นพวกหน้าเดิมๆ
เภสัชไทยมีดีอยู่อย่างคือขยันหาตัง แต่มักจะกลัวจนขี้ขึ้นหัว คือ"กลัวไม่ได้งาน กลัวไม่ได้แต้มและกลัวคนมีอำนาจ แต่แปลก คือไม่กลัวที่จะแขวนป้าย "จริงอย่างที่ผู้คร่ำหวอดบอกหรือไม่ น่าจะรู้ๆกันอยู่

อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ที่จะทำให้มีชีวิตการทำงานที่ดีกว่าทุกวันนี้ ให้ยึด"มายา โมเดล" แต่ถ้าเป็นพวกกลัวโน่นนี่นั่น กลัวสารพัด อย่างนี้ก็อยู่ใต้อำนาจ ใต้กฎเกณฑ์ที่กดเราไว้ ตลอดไปชั่วกาลนาน ก็ยึด"ไทยแลนด์โมเดล"
เมจิก พี
 
โพสต์: 294
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ย. 2012, 15:51

Re: ชีวิตคนขายของ(ยา)ยามดีก เป็นเภสัชก็มีสิทธิ์โดน

โพสต์โดย เมจิก พี » 03 ม.ค. 2018, 23:21

รวบหนุ่มทำทีซื้อยาหอมสาวขายยา ได้โอกาสปลอดคนชักมีดคัตเตอร์ข่มขู่ก่อนลงมือข่มขืน



เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2561 ที่ สภ.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี พล.ต.ท.จิตติ รอดบางยาง ผบช.ภ.2 พล.ต.ต.นันทชาติ ศุภมงคล ผบก.ภ.จว.ชลบุรี พ.ต.อ.จารุวัฒน์ สุริยาทิพย์ ผกก.สภ.แสนสุข ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมนายสมเจน เตชะมา อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 19 หมู่ 1 ซ.เทศบาล 4 ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี ผู้ต้องหาคดีข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น โดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย และลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยใช้ยานพาหนะ

โดยเหตุเกิดเมื่อเวลา 23.10 น.วันที่ 30 ธันวาคมที่ผ่านมา ขณะที่ น.ส.พร นามสมมุติ อายุ 30 ปี กำลังขายยา อยู่ร้านขายยาแห่งหนึ่ง ในอ.เมือง จ.ชลบุรี นายสมเจน ผู้ต้องหาได้ขี่รถจักรยานยนต์ฮอยด้า คลิ๊ก สีเทา-ดำ หมายเลขทะเบียน งขค 592 ชลบุรี มาจอดที่บริเวณหน้าร้าน หลังจากนั้นได้ทำทีของซื้อยาหอม 1 ขวดราคา 10 บาท หลังจากนั้นได้ออกจากร้านไป สักครู่ได้กลับมาอีกครั้งและขอซื้อยาหอมอีก
ขณะที่ น.ส.พรกำลังหยิบยาหอม และเก็บเงินใส่ลิ้นชัก นายสมเจนได้ชักมีดคัดเตอร์ออกมาจี้ และนำเชือกที่เตรียมมามัดมือไขว้หลัง และออกไปปิดประตูร้านขายยา ต่อมาได้ลงมือข่มขืนจนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง พร้อมทั้งลักโทรศัพท์มือถือ และเงินสด 7,000 บาทแล้วหลบหนีไป






ตำรวจจึงได้สเก็ตภาพหน้าคนร้าย พร้อมทั้งขออนุมัติหมายจับจากศาลจังหวัดชลบุรี และได้ออกติดตามผู้ต้องสงสัยจนกระทั่งพบ นายสมเจน เดินอยู่บริเวณริมถนนสาย 7 ต.หนองข้างคอก อ.เมือง จ.ชลบุรี จึงได้จับกุมตัวมาสอบสวน และให้การรับสารภาพว่าได้ข่มขืน น.ส.พร และลักทรัพย์ร้านขายยาจริง สารภาพทำไปเพราะความเมา จึงได้นำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวสร้างความหวาดผวาให้กับชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้ร้านขายยา เพราะเกรงว่าลูกหลานจะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นมาอีก เมื่อทราบข่าวว่าตำรวจจับกุมคนร้ายได้แล้วต่างดีใจ และเรียกร้องให้ลงโทษหนักที่สุด หรือประหารชีวิต จะได้ไม่มาก่อเหตุซ้ำอีก

ที่ไม่เป็นข่าวยังมีอีกเยอะที่เจอแบบนี้ ต้องฝากไปถึงเจ้าของร้านด้วยช่วยแก้ไขให้ด้วย รู้ว่าต้องประหยัดค่าจ้าง แต่สวัสดิภาพและความปลอดภัยของคนมันสำคัญกว่าเงินทอง หรือไม่สำคัญถ้าคนคนนั้นไม่ใช่ญาติเจ้าของร้าน
เมจิก พี
 
โพสต์: 294
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ย. 2012, 15:51

ย้อนกลับ

ย้อนกลับไปยัง โรบัสต้า

ผู้ใช้งานขณะนี้

New Document