เชอร์ริ่งฯลอนช์ยาคุมใหม่บุกตลาด
เชอร์ริ่ง-พลาว รุกตลาดยาคุมรับเทรนด์ตลาดโต ส่งยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดไร้เอสโตรเจน เพิ่มทางเลือกผู้หญิง-แม่ให้นมลูก เจาะโรงพยาบาล-ร้านขายยา พร้อมเดินสายจัดสัมมนาให้ความรู้
ภ.ก.จักรวุธ คอทรัพย์โสภา ผู้จัดการกลุ่มผลิตภัณฑ์ยาคุมกำเนิด บริษัท เชอร์ริ่ง-พลาว (ประเทศไทย) บริษัทในเครือเมอร์ค แอนด์ โก อิงค์ ซึ่งใช้ชื่อบริษัทเอ็มเอสดีในการทำตลาดภูมิภาคเอเชีย- แปซิฟิก และทุกประเทศนอกสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เปิดเผยว่า ตลาดยาคุมกำเนิดมีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 10% โดยเมื่อไตรมาสที่ 3 ปีที่แล้ว บริษัทได้นำเข้ายาเม็ดคุมกำเนิดชนิดไร้เอสโตรเจนเข้ามาทำตลาด เพื่อเป็นทางเลือกของผู้หญิงที่มีผลอาการข้างเคียงจากการใช้ผลิตภัณฑ์แบบฮอร์โมนรวม และกลุ่มแม่ที่ให้นมลูก
บริษัทมีแผนเพิ่มช่องทางจำหน่ายตามร้านขายยาทั่วไป ผ่านบริษัท ซิลลิค ฟาร์มา จำกัด ที่มีเครือข่ายร้านขายยา 6,000 แห่ง จากปัจจุบันจำหน่ายตาช่องทางโรงพยาบาล พร้อมกันนี้เพิ่งลอนส์วงแหวนคุมกำเนิดนำเข้ามาทำตลาดเป็นเจ้าแรก โดยเบื้องต้นทำตลาดช่องทางโรงพยาบาล ซึ่งคาดว่าใช้เวลา 2-3 ปี จึงวางแผนเพิ่มช่องทางตามร้านขายยา
สำหรับแนวทางการทำตลาดยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดไร้เอสโตรเจนหลัก ๆ บริษัทจะโฟกัสการจัดกิจกรรมผ่านร้านขายยาเป็นหลัก อาทิ จัดสัมมนาร่วมกับสมาคมร้านขายยา เพื่อให้สามารถให้ความรู้และข้อมูลที่ถูกต้องกับผู้สนใจได้ ซึ่งปัจจุบันคนไทยเข้าถึงข้อมูลน้อย จึงต้องเน้นให้ความรู้กับร้านขายยาอย่างต่อเนื่อง
ด้าน ศ.น.พ.สุรศักดิ์ ฐานีพานิชสกุล คณบดีวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และประธานกรรมการฝ่ายนิทรรศการงานประชุมวิชาการ เดอะ เฟิร์สท์ อินเตอร์เนชั่นนัล คองเกรส ออน วูเมน เฮลธ์ แอนด์ อันเซพ อบอร์ทชั่น กล่าวว่า 10 ปีที่แล้ว วิธีการคุมกำเนิดด้วยการทำหมันได้รับความนิยมเป็นสัดส่วน 30% และยาเม็ดคุมกำเนิดมีสัดส่วน 25% แต่ปัจจุบันการทำหมันลดลง หันมาใช้ยาในการคุมกำเนิดมากขึ้น และประเทศไทยเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน
จากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ายาเม็ดคุมกำเนิดเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เมื่อเทียบกับวิธีการคุมกำเนิดในรูปแบบต่าง ๆ โดยแบ่งเป็นยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม ชนิดฮอร์โมนเดี่ยว หรือชนิดไร้เอสโตรเจน และยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน
"ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดไร้เอสโตรเจนใช้ในต่างประเทศ อาทิ สหรัฐฯมานาน 7-8 ปี แต่ในประเทศไทยเพิ่งมีการนำเข้ามาจำหน่ายเมื่อปีที่แล้ว เพื่อเป็นทางเลือก เหมาะกับผู้แพ้ฮอร์โมนเอสโตรเจนจนมีอาการข้างเคียง ปัจจุบันคนไทยมีการคุมกำเนิดสัดส่วน 77% และไม่มีการคุ้มกำเนิด 23% ซึ่งเป็นกลุ่มยังไม่เข้าถึงข้อมูล จึงไม่มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง และกลุ่มที่เข้าถึงข้อมูลไม่ถูกต้อง ซึ่งมีการนำไปใช้ไม่ถูกต้อง อาทิ รักษาสิว ผิวพรรณ เป็นต้น"
พร้อมกันนี้ ศ.น.พ.สุรศักดิ์ให้ข้อมูลว่า คนไทยใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด 37% ทำหมัน 27% ยาฉีดคุมกำเนิด 12% ไม่คุมกำเนิด 19% ห่วงคุมกำเนิด 1% ยาฝังคุมกำเนิด 1% ถุงยางอนามัย 1% นับระยะปลอดภัย 1%