สรุปจากที่ได้เข้าประชุมสัมมนาเรื่อง "อนาคตร้านยาในระบประกันสุขภาพ"ที่ อย.เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2550 โดยคณะวิทยากรจากสภาเภสัชกรรม สมาพันธ์ร้านขายยาแห่งประเทศไทย
สมาคมเภสัชกรรมชุมชน และอย. สรุปคร่าวๆดังนี้
1.อนาคตร้านยาจะเป็นระบบมากยิ่งขึ้น บุคคลต้องปรับตัวให้เข้ากับระบบ fit in ด้วยความเป็นวิชาชีพ ร้านยายังเป็น "เรือธง" ของวิชาชีพ
2. เส้นทางอนาคตของร้านยาคุณภาพเดินอยู่บน 5 เส้นทาง ได้แก่
2.1 การเข้าสู่ระบบของ สปสช.
2.2 การเข้าสู่ระบบประกันสังคม
2.3 การเข้าสู่ระบบประกันชีวิต
2.4 ลูกค้าอิสระ ซึ่งต้องอาศัย Professional Practice ของเภสัชกร ซึ่งกำกับโดยสภาเภสัชกรรม
2.5 การทุบห้องจ่ายยาผู้ป่วยนอก และปรับบทบาทให้เป็น ศูนย์ DIS
3.สนง.โครงการพัฒนาร้านยา อย.ได้นำร้านยาคุณภาพเข้าร่วมพัฒนาคุณภาพบริการ ภายใต้ระบบประกันสังคม สวัสิการข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ และประกันภัยเอกชน โดยสถานการณ์ปัจจุบันเป็นดังนี้
3.1 การเข้าร่วมโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า ได้นำร่องที่โคราชโดยเชื่อมต่อกับคลินิคชุมชนอบอุ่น โดยกำหนดพื้นที่ร้านยาคุณภาพ ปี 50 3 จังหวัด ปี 51 26 จังหวัด ปี 52 ทั้งประเทศ
3.2 การเข้าร่วมโครงการประกันสังคม ได้จัดทำร่างข้อเสนอเพื่อเสนอปลัดกระทรวงแรงงาน ซึ่ง ดร.ภาวิช เป็นผู้เบิกทางให้ แต่ปัญหายังมีอยู่ว่า Demand/Supply ไม่สอดคล้องกัน เช่น นิคมอุตสาหกรรมนวนคร
มีแรงงาน 200,000 คน แต่ปรากฎว่าจำนวนร้านยาคุณภาพเป็น 0
3.3 การเข้าร่วมโครงการประกันภัยเอกชน ซึ่งจะเปิดทางผ่านเภสัชกรซึ่งเป็นอดีต Boss ใหญ่ของAIA และไทยประกัน(ในปัจจุบัน)
โดย ดร.ภาวิช เป็น key person ในการเปิดทางให้ แต่หน้าต่างของโอกาส(Windows of opportunity) นั้นเปิดไม่นาน ตราบใดที่ร้านยาปรับตัวเข้าสู่ระบบไม่ทัน เมื่อนั้นก็จะเสียโอกาส และจะกลับไปสู่วังวนเช่นเดิม
4.ภัยคุกคามประการหนึ่งของร้านยาคุณภาพคือ ห้องยาผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาล ซึ่งจะปรับตัวเพื่อเกื้อหนุนระบบของร้านยาคุณภาพได้โดยเป็นศูนย์ข้อมูลข่าวสารด้านยา (DIS) และต้อง take action ให้มากขึ้น
โดยรับข้อมูลข่าวสารแบบ 2-way ไม่ใช่ one way แบบปัจจุบัน
5.ในช่วงปี 2550-2551 จะเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เช่น ร่าง พรบ.ยาฉบับใหม่ การบังคับใช้ GPP การกำหนดหลักเกณฑ์การต่ออายุใบอนุญาตขายยา การบริการของภาครัฐภายใต้โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า "คลินิกชุมชนอบอุ่น"
6.ร้านยาที่จะเข้าร่วมระบบ สปสช.ได้ จะต้องเป็นร้านยาคุณภาพ หรือผ่านเกณฑ์ GPP มีเภสัชกรปฏิบัติจริงตามเวลา อีกทั้งต้องมีจำนวนร้านยาคุณภาพมากพอ (มากกว่า 500 ร้าน) และต้องกระจายตัวทุกจังหวัด ภายในปี 2551นี้
7.การบังคับใช้ GPP อยู่ในขั้นตอนการร่าง อาจมีผลบังคับใช้ปลายปี 2550 นี้ ประเด็นที่สำคัญ คือ
7.1 ร้านยาที่จะเปิดใหม่ ต้องมีเภสัชกรอยู่จริง เต็มเวลา และต้องผ่านเกณฑ์ GPP
7.2 ร้านยาที่เปิดดำเนินการอยู่ก่อนแล้ว จะมีขั้นตอนการพัฒนา GPP ให้เข้มข้นขึ้นตามลำดับ และให้ระยะเวลา 8 ปี ที่จะต้องผ่านเกณฑ์ GPP และมีเภสัชกรอยู่ปฏิบัติการจริง มิฉะนั้นจะไม่ได้รับการต่ออายุใบอนุญาต
7.3 ภายหลังกฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ หากตรวจพบว่าร้านยาใดไม่สามารถจัดหาให้เภสัชกรมาปฏิบัติการได้จริง เกินกว่า 3 ครั้ง ใน 1 ปี หรือมีการกระทำผิดในมาตราอื่นของ พรบ.ยาเกินกว่า 5 ครั้ง ใน 1ปี ก็อาจไม่ได้รับการต่ออายุใบอนุญาตได้
8.การผลักดันโครงการผลิตเภสัชกรเพื่อพัฒนาร้านยาคุณภาพ
9.แนวคิดในการลดภาระงานห้องยา OPD แล้วให้คนไข้มารับยาที่ร้านยาคุณภาพ โดยอาจต้องคืนกำไรบางส่วนให้โรงพยาบาล เพื่อชดเชยรายได้ที่ขาดหายไปของโรงพยาบาล และเภสัชกรที่โรงพยาบาล จะเน้นงานบริการเภสัชกรรมคลินิกที่ IPD เพิ่มขึ้น
10.การกำหนดแผนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาร้านยาอย่างเป็นระบบ
-สิ้นปี 2550 ต้องมีร้านยาคุณภาพ 300 ราย ใน 60 จังหวัด
-สิ้นปี 2551 ต้องมีร้านยาคุณภาพ 500 ราย ใน 76 จังหวัด
11.หน่วยสนับสนุนในการพัฒนาให้เกิดร้านยาคุณภาพ ได้แก่ สถาบันการศึกษา สสจ. และชมรมร้านยาแต่ละจังหวัด
หากร้านยาไม่สามารถปรับตัวได้ทันระบบ ระบบก็จะทิ้งร้านยา
ร้านยาทั้งหมดก็จะเป็นส่วนเกินของระบบสาธารณสุขเร็วๆนี้..........
โปรดติดตามด้วยความระทึกในหทัยพลัน