อยากรู้ก็ตอบให้ึครับ ทีละคำถาม
วันนี้อารมณ์ดี สเปนชนะ
1. เงินเดือนของเภสัชกรเท่าไหร่จึงจะเหมาะสม
คำว่าเหมาะสมไม่มีขั้นต่ำขั้นสูงครับ
ตลาดมันจะมี Optimum Point ของมันเอง มันขึ้นอยู่กับความพึงพอใจทั้งสองฝ่าย
มันคือ Demand - Supply ครับ
อย่าเรียกเงินเดือน เราเรียกค่าตอบแทนดีกว่า
ค่าตอบแทนมันจะแบ่งง่ายๆ สองแบบ คือค่าตอบแทนที่เป็นตัวเงิน กับค่าตอบแทนที่ไม่ใช่เงิน
ขออนุญาตเลคเชอร์แล้วกันนะครับ เผื่อหลายๆ ท่านที่ยังไม่รู้ จะได้เพิ่มความรู้ด้วย อาจจะไม่ดีนัก
1. ค่าตอบแทนที่เ็ป็นตัวเงิน (Financial Incentive) ก็คือการกำหนดให้รายได้เป็นปัจจัยหลักในการตอบแทนผลการทำงาน ปรกติในวงการแพทย์เราแบ่งเป็นสองอย่างคือค่าตอบแทนเหมาจ่าย เช่นเงินเดือน เบี้ยยังชีพ ฯลฯ กับค่าตอบแทนเป็นกรณี เช่นรายคนไข้ ค่าตอบแทนตามยอดขาย
สมมติว่า คุณให้เหมาจ่าย 10,000 บาท และรายคนไข้ รายละ x บาท หรือตามยอดขายเช่นร้อยละ 0.x ของยอดขาย นี่คือราคาค่าตอบแทนที่เป็นตัวเงิน
ถ้าคุณให้มากกว่าที่อื่น คุณก็อาจจะอยู่ไม่ได้ ถ้าให้น้อยกว่า คนก็ไม่มาทำ ตรงนี้เป็นกลไกตลาดอยู่แล้วครับ บางคนจัดพวกสวัสดิการ เช่นบ้านพัก ค่ารักษาพยาบาลไว้ในส่วนนี้ด้วย
2. ค่าตอบแทนที่ไม่ใช่ตัวเงิน *Non-financial Incentive) ตรงนี้เป็นจุดที่จะนำมาชดเชยกรณีที่เราอาจจะจ่ายได้น้อยกว่าที่อื่น ค่าตอบแทนพวกนี้เช่น การให้วันหยุดพัีกผ่อนเพิ่ม กรณีที่ขายได้มาก การส่งไปดูงาน ฝึกอบรม
ประเด็นสำหรับคำถามนี้คือ การสร้างระบบ incentive ที่เหมาะสมในร้านยา standalone นั้น จะทำได้อย่างไร???
เพราะเภสัชกรหลายๆ คนรวมถึงผมด้วย ยึดเกียรติและศักดิ์ศรีของวิชาชีพ (ไม่ใช่ของตัวเรา) ที่จะทำให้ประชาชน มากกว่าเงินมากมาย
แต่การที่เป็นลูกจ้างนั้น อาจจะตอบได้ไม่ตรงใจ
ส่วนที่สำคัญอีกอย่างคือความก้าวหน้า เพราะร้านยาแบบ standalone ไงๆ ก็ไม่ได้มากกว่านี้
ว่างๆ เดี๋ยวคงเขียนบทความให้อ่านกันได้
2. ความไม่มั่นคงและไม่มีโอกาสก้าวหน้าในร้านยา
คำถามนี้คือสิ่งต่อเนื่องจากข้อแรกครับ
ร้านยาไม่ใช่จะไม่มีโอกาสก้าวหน้า แต่ผู้ประกอบการร้านยา กล้าทำให้ผู้ปฏิบัติงานวิชาชีพของคุณก้าวหน้าหรือไม่??
บางคนพอใจแล้วครับ กับแค่เงินเดือนขึ้นปีละ 3-5% (ตามอัตราเงินเฟ้อ)
บางคนก็อยากได้เพิ่มสักหน่อย ตามประสบการณ์
หลายๆ คนอยากเป็นผู้บริหารใหญ่โต
สมดุลของระบบ จะเป็นตัวกำหนดครับ
ถ้าทนอยู่ไม่ได้ ก็ลาออกไปทำอย่างอื่น คุณก็ต้องหาคนใหม่เข้ามา ถ้าหาไม่ได้ ร้านก็ต้องเลิกทำ
มันไม่ใช่ความโหดร้ายครับ มันเป็นสิ่งที่เราเรียกว่า inconvenience truth
กลไกธรรมชาติของธุรกิจมันมีอยู่ ถ้าคุณไปได้ ร้านคุณก็ขยายใหญ่โต มีเงินจ้างคนได้ ถ้าไม่ได้ก็ต้องเลิกครับ เป็นเรื่องธรรมดา
ไม่เกี่ยวว่าร้านยาฝรั่งหรือไทยหรอกครับ
3. หากทุกท่านเห็นว่าทั้งประเทศต้องเปลี่ยน ใครอยู่ได้ก็อยู่ไป อยู่ไม่ได้ก็ไปทำอาชีพอื่น
มันเป็นเรื่องธรรมชาติของธุรกิจ เพียงแต่ร้านยานั้น เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและจริยธรรมครับ
ดังนั้นแล้ว หากใครปรับตัวไม่ได้กับสามประเด็นคือ
1. การทำธุรกิจ
2. จริยธรรมทางการแพทย์
3. ความรู้ทางการรักษาพยาบาลและการใช้ยา
ก็ต้องออกไปจากธุรกิจครับ
หลายๆ ประเทศที่พัฒนาแล้ว การตั้งร้านยาสงวนไว้กับเภสัชกรเท่านั้น เพราะมันไม่ใช่แค่การค้า แต่มันคือชีวิตมนุษย์
ในขณะที่หลายๆ ประเทศนั้น เภสัชกรทำหัตถการบางอย่างได้ด้วยซ้ำ
บอกแล้วครับ มันก็แค่ An inconvenience truth
4. คำถามนี้ถามเพราะอยากทราบจริงๆ
ทุกท่านเลือกวิชาชีพหรือประชาชนมากกว่ากัน
ณ. เวลานี้ร้านยาไม่มีร้านไหนที่ไม่ต้องการเป็นร้านยาคุณภาพหรอกครับ
แต่ติดที่ค่าจ้างเภสัชกรจริงๆ
คำถามก็คือถ้าเงินเดือนของเภสัชน้อยลง ต้องมาอยู่จังหวัดเล็กๆ
ทุกท่านคิดว่าจะมีเภสัชกรซักกี่คนเลือกทำเพื่อประชาชนยอมมาอยู่ที่กันดารเพื่อประชาชน
คำถามนี้ตอบง่ายครับ
ทุกคนเลือกตัวเอง ไม่ใช่วิชาชีพหรือประชาชน
มันคือระบบอุปสงค์อุปทานที่แท้จริง
แต่ว่าไม่ใช่เสมอไปที่คนจะไม่ยอมลดเงินเดือนครับ คำว่าเลือกตัวเอง อาจจะมี non-financial incentive ที่สำคัญหลายๆ อย่าง เช่นใกล้บ้าน เจ้าของนิสัยดี ฯลฯ
ตอบไม่ได้ครับ
ผมเองทิ้งเงินเดือนมาอยู่เป็นลูกจ้างต๊อกต๋อยในหน่วยงานที่ทำหน้าที่พัฒนาคนแทนที่อนาคตอาจจะได้เป็นหัวหน้าแผนกในรพ. สักแห่ง เพียงเพราะยึดมั่นในเกียรติและศักดิ์ศรีของวิชาชีพ
ในขณะที่บางคน แขวนป้ายแบบไม่อายฟ้าดินไม่สนใจอะไร ใครจะเป็นจะตาย ขอตังไม่กี่พันก็พอแล้ว
ดังนั้น ตัวแปรที่เป็น incentive มีผลครับ ถ้าจัดหาได้อย่างเหมาะสม เราจะได้คนที่มาทำงานกับเราเอง
แต่ถ้าเราจัดการไม่ได้ คนก็จะไม่มาหาเรา และแน่นอนครับ ด้วยกลไกธรรมชาติ มันย่อมจบไป
5. เภสัชกรมีสิทธิวินิจฉัยโรคหรือไม่
มีสิทธิวินิจฉัยพื้นฐานและจ่ายยาบางกลุ่มครับ หลักๆ เราจะใช้การให้ความรู้ เช่น มีแนวโน้มจะเป็นอะไรได้บ้าง และ
ตรงข้ามกับแพทย์ที่ไม่มีสิทธิจ่ายยาครับ จริงๆ พรบ. ยา ปี 2510 ระบุไว้ค่อนข้างชัดเจนแล้ว แต่ไม่มีใครทำตาม แถมไม่มีใครเอาผิดอะไร
แม้ระบบจริงๆ ควรจะให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัยและสั่งใช้
เภสัชกรจะเ็ป็นผู้คอยสนับสนุนด้านยาและจ่ายยาเอง
สมัย พรบ. ยาปี 2510 ออก ก็มีเจตนารมณ์เช่นนี้ครับ
อยากทราบความเห็นเท่านี้ละครับ
ขออภัยหากเห็นว่าคำถามเหล่านี้ขัดต่อความเป็นวิชาชีพของหลายๆ ท่าน
แต่ผมถามเพราะเป็นความจริงของประเทศไทยจริงๆ
ไม่มีอะไรขัดครับ และความจริงของโลกนี้บางอย่าง อาจจะกระทบตัวคุณเอง คุณก็ต้องยอมรับได้เช่นกัน