(ที่ตอนนี้เค้ามีบังคับแล้วว่าเภสัชกรร้านยาต้องมาอบรม)
เค้าก็มีถามคำถามนี้ด้วยก็เลยอยากจะมาถามพี่ๆ เพื่อนๆ ในบอร์ดว่า
เราจะแก้ปัญหานี้อย่างไรดี?
ใครขี้เกียจอ่านเยอะก็อ่านเฉพาะตัวสีเขียวก็ได้ค่ะ
อบรมก็ได้ความรู้มาพอสมควร เช่น
-มีอบรมจรรยาบรรณ จริยธรรม กฎหมาย บางอย่างถูกกฎหมายแต่ไม่ถูกจริยธรรม บางอย่างถูกจริยธรรมแต่ผิดกฎหมาย.......
โปรดใช้วิจารณญาณเอง.........หลบเลี่ยงกันเอง.........อย่าให้จับได้แล้วกัน
-เภสัชกรแขวนป้ายเขาผ่อนผันให้ถึงสิ้นสุดตั้งแต่ปี 2529 แล้ว...............แต่ตอนนี้ 2553 ก็ยังมีอยู่?
-เภสัชกรชั้น 2 เหลืออยู่ 1 คน----> ก็เลยต้องคงชื่อไว้ในพรบ.อยู่
-แผ่นพับโฆษณาที่เป็น ฆศ. ให้โฆษณาได้สำหรับผู้ประกอบโรคศิลปะเท่านั้น....อย่าเผลอเอาไปแจกคนไข้ล่ะ เพราะบางทีพวกเซลล์ก็มาแจกเภสัชกรร้านยาคนเดียวตั้ง 300 แผ่น เพื่อ...........? ส่วนโฆษณาที่เป็น ฆท. ถึงเผยแพร่ได้ทั่วไปได้
-สภาเภสัชกรรม มีหน้าที่กำกับดูแลและปกป้องสิทธิเภสัชกรเท่านั้น ไม่มีสิทธิที่จะไปทำอะไรกับคนที่ที่แอบอ้างเป็นเภสัชกรนะจ๊ะ.....
-ร้านยาทั่วประเทศมีประมาณ 10000 กว่าร้าน ในกรุงเทพประมาณ 3000 ร้านมั้ง ตารางข้างล่างโดยละเอียดค่ะ

-เภสัชกรที่แขวนมากกว่า 1 ป้าย ตรวจพบประมาณ 18 คน เค้าบอกว่าเอาชื่อเภสัชกรร้านยาทั่วประเทศมา pool รวมกันแล้วก็เจอค่ะ
-ต่อไปจะไม่ให้มีเภสัชกรลงเวลาปฏิบัติการ 3 ชั่วโมงแล้ว......อาจจะเป็น 4 ชั่วโมงแทน...อิอิอิ
มาถึงที่หัวข้อกระทู้เราดีกว่า
ในความคิดเห็นของเรานะ จากประสบการณ์ตรงของคนเคยแขวนป้ายมา 2 รอบอย่างเรา (ที่พูดไม่ได้จะโทษว่าเป็นความผิดของใครถ้าจะโทษก็ต้องโทษตัวเราเองที่เอาชนะตัวสีดำที่อยู่ในใจไม่ได้) ก็อยากจะแชร์สาเหตุของการแขวนป้ายของเราก็คือรุ่นพี่ชวน เพราะพี่จะย้ายที่ทำงานไปต่างจังหวัดต้องเอาป้ายไปด้วย ไม่มีใครแทนต้องหาคนแทนก่อนถึงจะไปได้ ตอนแรกเราก็ไม่เอาหรอก บอกว่าไม่อยากมีปัญหา (ประมาณว่าเด็กจบใหม่ จรรยาบรรณยังเข้มข้นอยู่) แต่สุดท้ายก็ต้องไหลไปตามกระแส เงินซื้อเราไม่ได้หรอก.......ถ้าไม่มากพอ พี่บอกว่าคิดดูเดือนละ 4000 ปีนึงก็ 48000 อยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไร "ใครๆเค้าก็ทำกัน" สรุปก็แขวนไปเกือบๆปี แต่ถ้าถามตรงๆ อยากได้เงินไหม เงินใครๆก็อยากได้ ความรู้สึกผิดก็มีอยู่นิดนึงแต่อาจจะแปรผกผันไปตามกาลเวลา พอไม่โดนอะไรมันก็เลยรู้สึกว่าที่ทำอยู่ก็ไม่ได้ผิดมาก "ใครๆเค้าก็ทำกัน" ตอนหลังจะย้ายที่ทำงานเหมือนกันเลยเลิกแขวนและหารุ่นน้องมาสืบทอดทายาทอสูรต่อไป....หุหุหุ
ตอนที่แขวนป้ายอยู่มันก็เป็นความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่ว่าอย.จะมาตรวจเจอไหม ตอนไปเอาเงินที่ร้านเค้าทุกเดือนก็รู้สึกเหมือนตัวอะไรก็ไม่รู้ มันคงดูไร้ค่าสุดๆ (คิดเอาเอง.....ก็เรามารับค่าจ้างแขวนป้ายหนิ) แค่จะมองดูยาเค้ายังไม่กล้าเลย ทำหน้าปั้นจิ้มปั้นเจ๋อไป เวลาผ่านไปกลับไปอยู่บ้านสักพักกลับมากรุงเทพอีกครั้ง มีรุ่นพี่จะเปิดร้านยาสาขา 2 มาขอให้ไปแขวนให้อีก เราก็อ่ะนะ ปฏิเสธคนไม่เป็น อยากพูดเรื่องจรรยาบรรณก็ต้องปีนบันได้ไปพูดโน่น พูดแถวนี้เดี๋ยวเค้าหาว่าบ้า แต่ในใจก็คิดอยู่เสมอว่าต้องมีร้านยาของตัวเองและอยู่ปฏิบัติการเองให้ได้สักวัน ตอนนี้มีร้านของตัวเองแล้วค่ะ "เลิกแล้วค่ะ หนูเลิกแขวนป้ายแล้วค่ะ!!" ร้านเล็กๆ ขายเวลาเลิกงานประจำตอนเย็น ยังไม่รู้เลยว่าจะหมู่หรือจ่า แต่ก็จะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด...เย่ๆๆ ขนาดเราตั้งใจว่าจะขายแค่ตอนเย็น และเสาร์-อาทิตย์ ก็ยังมีผู้หวังดีคอยปลอบประโลมอยู่เรื่อยๆว่าจะดีเหรอตอนกลางวันก็ให้น้องมาช่วยขายดิ ลูกค้าเค้าไม่เอาอะไรหรอก ยาดมยาหม่อง ขายๆ ไป....น้องก็เพิ่งออกจากงานอยากขายเต็มที่เราก็บอกว่าแกไปเรียนเภสัชมาก่อนแล้วค่อยมาขายนะ ก็ทำเป็นปากดีไปแหละ แต่ก็ยังไม่รู้เลยว่าอุดมการณ์มันจะกินได้ไหม แต่ก็จะพยายามค่ะ^^
ที่พล่ามมาทั้งหมดก็อยากจะสรุปว่า
1.จรรยาบรรณและจริยธรรมที่อยู่ในใจของเรา บางทีมันก็ต้านกระแสน้ำไม่ไหว.....มันก็ต้องไหลไปตามน้ำ....ไปเป็นบางเวลา เค้าบอกว่าตัวอย่างที่ดีมีค่ากว่าคำสอน ถามว่ารุ่นพี่ที่นับถือ, อาจารย์ที่เคารพ, เจ้าหน้าที่รัฐ (อันนี้พูดทั่วๆไปนะคะ)........ก็ยังแขวนกันอยู่ แล้วเราล่ะก็ "ใครๆเค้าก็ทำกัน"
-อยู่แต่พอดี ทำแต่พอเพียง อาจจะไม่ใช่วันนี้แต่ถ้าสักวันเรามีโอกาสและศักยภาพพอ เราก็ควรจะมีจรรยาบรรณ จริยธรรม และศีลธรรมที่ดี ปฏิบัติตัวเป็นพลเมืองดีของประเทศ ถึงอาจจะไม่มีใครรู้แต่เราก็รู้ตัวเราเองและความรู้สึกภาคภูมิใจและเคารพต่อตัวเองมันก็จะมาเอง
2.กฎหมายเด็ดขาดพอหรือยังกับผู้เป็นเจ้าของที่ร้านที่ไม่ใช่เภสัชกร ที่ไม่ใช่แค่มาเปลี่ยนชื่อเภสัชกร และก็ทำร้านได้ต่อไป มาต่ออายุทุกปีๆ และก็ทำร้านได้ต่อไป ทั้งๆที่อย.รู้อยู่เต็มอกว่าร้านไหนแขวนป้ายบ้าง แค่ดูเวลาปฏิบัติการก็รู้แล้ว แต่ก็ยังทำอะไรไม่ได้ (กฎหมายก็บอกอยู่แล้วว่าห้ามขายนอกเหนือจากเวลาที่ระบุ, ป้ายระบุ 17.00-20.00น. แต่เปิดขายตั้งแต่เช้ายันเย็น.......อย.ทำอะไรได้บ้าง) อย.บอกว่าคุณก็ร้องเรียนมาสิ เรามันคนไทยใจดี ไม่ชอบมีเรื่องกับใคร คนทำมาหากินเหมือนกันคงไม่มีเวลามานั่งจับผิดคนอื่นตลอดเวลาหรอกค่ะ ทำไปเดี๋ยวเค้ารู้ว่าเป็นเราอาจจะแค้นฝังจิตฝังใจตามไปชาติหน้าด้วย หรือไม่ก็อาจจะเอาอึมาปาร้านเราจะทำยังไงคะ ดีไม่ดีร้องเรียนไปกลายเป็นไปเหยียบตาปลาใครเข้าแล้วจะซวยเราอีก เพราะยังไงก็ทำอะไรก็ทำไม่ได้อยู่ดี รอให้กรรมตามสนองเค้าได้อย่างเดียวค่ะ
-เภสัชกรในประเทศไทยมีประมาณเกือบๆ 30000 คน เภสัชกรร้านยามีประมาณ 10000 กว่าคน ถามว่าสภาเภสัชกรรม/อย./สสจ. ควบคุมเป็นรายคนได้ไหม อย่างน้อยควบคุมคนที่เป็น big ๆ ก่อน ในอย./สสจ./รพ.รัฐ/อาจารย์ มีคนแขวนป้ายไหม.......แล้วถามกลับหน่อยว่าแขวนได้อย่างไร? กลางวันปิดร้านไว้แล้วมาเปิดขายตอนเย็นเหรอ? ถ้าควบคุมจัดการขั้นเด็ดขาดกับกลุ่มนี้ได้ 100% ก็ไม่ต้องกลัวว่าตัวเล็กๆมันจะกล้า.......คงรีบไปเอาป้ายออกกันจ้าละหวั่นแน่......................................
3.การเกิดใหม่ของเภสัชกรแขวนป้าย ส่วนใหญ่คิดว่าน่าจะเป็นการสืบทอดทายาทอสูรนะคะ รุ่นพี่เลิกทำ ชวนรุ่นน้องแขวนต่อ เราเชื่อแน่ว่าเด็กจบใหม่ทุกคน คงไม่มีใครตั้งหน้าตั้งตาเรียนเพื่อให้ได้เอาป้ายเพื่อมาแขวนแล้วได้ 5000 หรอก แต่เมื่อผู้คุมกฎหมายยังทำอะไรไม่ได้ สิ่งแวดล้อมก็เอื้ออำนวย ต่อมความละอายและเกรงกลัวต่อความผิดก็จะตายด้าน จนมันมีวิวัฒนการกลายมาเป็นสิ่งที่ถูกต้องในสังคม "ใครๆเค้าก็ทำกัน"
-การขออนุญาตเปิดร้านยาใหม่ ไม่ใช่ว่าต้องมีป้าย มีร้าน มีตู้ แล้วค่อยถ่ายรูปมาขอ เค้าลงทุนไปแล้วตั้งเท่าไหร่แล้ว จะไม่ให้เค้าเหรอ ยังไงเค้าก็จะทำให้ได้อยู่แล้ว มันก็เป็นปัญหาซ้ำๆ เดิมๆ ไปไม่สุดสิ้น เพราะคุณรับเขาเข้ามาในระบบเอง อย./สสจ.ก็รู้ ว่าร้านไหนแขวนป้าย ก็อาจจะเตะถ่วงเวลาให้นานหน่อยสำหรับร้านที่เภสัชกรกับเจ้าของไม่ใช่คนๆเดียวกัน แต่ถามหน่อยเหอะว่ามีร้านไหนที่ไม่ได้บ้าง ส่วนร้านที่รอใบอนุญาตเค้าก็ขายกันไปตั้งแต่ยังไม่ได้ไปขอใบอนุญาตแล้ว อย.มาตรวจก็ขนยาลง ควรจะแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นเหตุเลย ง่ายๆใครจะเปิดร้าน ให้กรอกข้อมูลลงในกระดาษแผ่นเดียวมาเลย ใครเป็นเจ้าของ? ใครเป็นเภสัชกร? เภสัชกรทำงานประจำที่ไหนหรือเปล่า? เวลาเปิดร้าน? เวลาปฏิบัติการ? อย./สสจ.พอได้ขอมูลแค่นี้ก็น่าจะ screen ได้ว่า ร้านไหนได้ ร้านไหนไม่ได้ พวกที่ไม่ได้ก็จะได้เอาเงินก้อนนั้นไปทำอย่างอื่น ไม่ต้องเสียเวลาเฝ้าฝันว่าจะมีร้านยาเป็นของตัวเอง
-อย./สสจ. มีมาตรการควบคุมร้านยาที่แขวนป้ายแค่ไหน ทั้งๆที่รู้อยู่ว่าร้านไหนแขวนร้านไหนไม่แขวน (หรือว่าไม่รู้?) แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรที่มันเด็ดขาดอย่างชัดเจน เค้ามาต่อใบอนุญาตก็ให้เค้าต่อไป เค้ามาเปลี่ยนเภสัชก็ให้เค้าเปลี่ยนไปตามกระบวนการ ควรจะลงดาบไปเลยว่าจะตรวจสอบแล้วนะว่าใครแขวนป้ายจะจัดการขั้นเด็ดขาด (ตรวจสอบจากเวลาปฏิบัติการที่ขออนุญาต หรือ หน่วยงานต้นสังกัด ซึ่งข้อมูลเหล่านี้อย่างน้อย สภาเภสัชกรรม/อย./สสจ.ก็น่าจะมีข้อมูลอยู่) ให้เวลาไปเลย 3 เดือนสำหรับเภสัชกร ใครแขวนอยู่ก็ให้ไปยกเลิกออกมาซะ และไม่ต้องไปเป็นธุระจัดหาเภสัชใหม่ให้เค้า ให้ทางอย./สสจ.ออกหน้าทำหน้าที่ไปจัดการเองกับร้านเอาเป็นร้านๆเลย ส่วนใหญ่ที่ออกไม่ได้เพราะ แขวนมานานแล้ว และไม่มีปัญหา รับเงินเค้ามาตั้งนานแล้ว อยู่ดีๆจะออกมันก็คงไม่ดีสำหรับเจ้าของร้าน คนทำมาหากินกันทั้งนั้น แต่ถ้าอย./สสจ. ช่วยออกหน้าให้ มันก็น่าจะช่วยแก้ปัญหาได้ ส่วนเจ้าของร้านเมื่อไม่มีเภสัชกร ก็ไม่ใช่จะไม่ให้เค้าขายเลย อันนี้มันก็เถรตรงเกินไป ทำได้แต่เขียนไว้บนกระดาษ คุยกันได้ไหม ให้เวลากันบ้าง
------->ร้านไหนขายดีมากๆ ก็ควรจะให้จ้างเภสัชกรมาเป็นเวลาๆ ตลอดเวลาที่เปิดร้าน ไหนๆคุณก็ฉกฉวยผลประโยชน์จากสังคมมาตั้งนานจนรวยแล้วรวยอีกก็ควรจะทำให้มันถูกต้องซะ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ให้เลิกไปทำอย่างอื่นเสีย
------->ร้านไหนขายพออยู่ได้แต่มันเป็นอาชีพที่เลี้ยงทั้งครอบครัว คุยกันว่าคุณจะทำอย่างไร เพราะมันผิดกฎหมาย และอย./สสจ.ก็อลุ้มอล่วยมาตั้งนานแล้ว ให้เวลาไปเลย 6 เดือน/1 ปี/5 ปี/6 ปี จะเลิกไปทำอย่างอื่น ให้เซ้ง หรือว่าจะส่งลูก ส่งเมียที่เฝ้าร้านอยู่ หรือให้ทุนเด็กเรียนดีไปเรียนเภสัชต่อแล้วก็กลับมาปฏิบัติการที่ร้าน ก็ว่ามาเอาสักอย่างหนึ่ง ไหนๆก็หย่อนยานกันมา 20 กว่าปีแล้วแต่การแก้ปัญหาอย่างนี้ เราว่าไม่เกิน 7 ปีจะไม่มีเภสัชกรแขวนป้ายอยู่เลย แต่ในระหว่างนี้ทางรัฐก็ต้องมีการช่วยดูแลเค้าด้วย อย่างเช่นใครจะเซ้งร้านก็เป็นสื่อกลางช่วยในการประชาสัมพันธ์ ใครจะไปเรียนก็ให้ทำไปจนครบ 6 ปีแล้วได้ปริญญากลับมาเปิดร้าน แต่ถ้าครบเวลาที่ตกลงกันแล้วยังไม่มาเปิดร้านก็ปิดมันไปเลย ในระหว่างที่รออยู่ก็อาจจะให้เป็น ขย.3 (อันนี้คิดเองนะ) อาจจะขายได้เหมือนเดิมเหมือนขย.1 แต่ต้องมีการควบคุมดูแลโดยเภสัชกรอย./สสจ.(ให้เภสัชกรอย./สสจ.ไปแขวนป้ายแทนไปก่อน)
เภสัชกรจริงๆก็โดนจ้ำจี้จำไช ตะบี้ตะบันทำร้านยาคุณภาพกันเข้าไปเพื่อให้เข้าเกณฑ์มาตรฐาน เหนื่อยไหม? ทำดีมันเห็นผลช้า แต่ไอ้พวกร้านหมอตี๋รวยกันไปตั้งเท่าไหร่แล้ว ต้นทุนก็น้อยกว่า เราทำอะไรไม่ได้เลย "คนชั่วได้ดี คนดีมันก็มีท้อถอยกันบ้าง"
เราทำดีมันก็ดีอยู่แล้วแหละแต่มันจะดีกว่านี้ไหมถ้ารัฐ/ผู้มีอำนาจช่วยส่งเสริมป้องกันไม่ให้คนที่ไม่มีคุณสมบัติเข้ามาอยู่ในระบบ และออกกฎให้เข้มเพื่อไม่ให้คนกล้าทำความผิด (นอกเหนือจากจริยธรรมในจิตใจ) ไม่ใช่ว่าต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างอยู่ รอดตัวก็แล้วไป อย่าให้จับได้ก็แล้วกัน จะพูดอะไรก็พูดได้ไม่เต็มปาก ทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอก ลูบหน้าปะจมูก บอกว่าทำไม่ได้ อ้างโน่นอ้างนี่ จรรยาบรรณวิชาชีพมีกันอยู่ทุกคนแหละ แต่เมื่ออะไรๆมันเอื้อให้สามารถทำได้ มันก็ย่ามใจ ได้ใจ สุดท้ายคิดว่ามันคือสิ่งที่ถูก และกลายมาเป็นบรรทัดฐานของสังคมไปซะงั้น
ตอนหลังมีอารมณ์ออกแนวเหวี่ยงเล็กน้อย....อุอุอุ^^ ก็อยากจะขอแสดงความคิดเห็นจากคนตัวเล็กๆที่ผ่านโลกมายังไม่มาก ถ้าทำได้ก็น่าจะดี แต่ไม่รู้ทำไมทำไม่ได้สักที อาจจะมีตอเยอะ มันก็เป็นข้อจำกัดของสังคมไทย ที่เราก็รู้ๆกันอยู่ ก็เป็นกำลังใจให้คนที่คิดดีทำดี แล้วกันค่ะว่าทำดียังไงก็ได้ดี ไม่เห็นผลในชาตินี้ก็ในชาติหน้าแน่นอนค่ะ พูดจากใจจริงค่ะ
