ล้มผูกขาดยาต้นแบบ ใคร?..เสียประโยชน์
เป็นเวลากว่า 25 ปีที่รัฐบาลเยอรมนีพยายามผลักดันให้มีการใช้ยาชื่อสามัญ หรือ Generic หลังจากพบว่าค่าใช้จ่ายด้านยาของประเทศต่างๆในกลุ่มภาคพื้นยุโรปเพิ่มขึ้นถึง 5.6% ในแต่ละปี มากกว่าค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพทั้งหมดที่เพิ่มขึ้นประมาณ 4.4% ต่อปี
รัฐบาลเยอรมนีเล็งเห็นว่า หากปล่อยให้สถานการณ์เป็นไปเช่นนี้ ในอนาคต สถานการณ์การเงินของประเทศอาจต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่ได้ ที่สำคัญคือ ยาชื่อสามัญมีการจำหน่ายในราคาที่ถูกกว่ายาต้นแบบหรือยาที่มีชื่อทางการค้า (Trade name) ถึงประมาณ 20-90%
จากความพยายามดังกล่าวทำให้ปัจจุบัน กว่า 80% ของตลาดยาในเยอรมนีเป็นยาชื่อสามัญหรือยา Generic ทั้งหมด
ขณะที่ประเทศไทยมีการใช้ยาชื่อสามัญเพียง 20% เท่านั้น
พงศ์พันธ์
จากบทเรียนของประเทศที่พัฒนาแล้วดังกล่าวในปี 2552 ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จึงได้จัดระบบการขึ้นทะเบียนยาใหม่ที่มีความแตกต่างระหว่างยาต้นแบบกับยาสามัญ โดยปรับโครงสร้างการบริหารหน่วยเงินทุนหมุนเวียนใหม่ โดยเฉพาะในส่วนของยาเสพติดให้โทษประเภท 2 และวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภท 2 โดยแยกการบริหารออกจากกองควบคุมวัตถุเสพติด ให้เป็นหน่วยงานอิสระภายใต้การกำกับของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
รวมทั้งปรับนโยบายเปิดรับยาสามัญที่มีคุณภาพเข้าร่วมแข่งขันเสนอราคาในการจัดซื้อวัตถุเสพติดที่ใช้ในทางการแพทย์ เพื่อทำให้คนไทยได้ใช้ยาที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสมและสามารถเข้าถึงยาได้ง่าย
ซึ่งหมายความว่า อย.ได้เข้าไปปลดล็อกหรือล้มระบบการสั่งซื้อยาเสพติดให้โทษประเภท 2 และวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภท 2 ออกจากมือแพทย์ ที่แต่เดิมยาเหล่านี้แพทย์จะเป็นผู้สั่งใช้เท่านั้น
นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้รายละเอียดว่า หลังจากที่ปรับระบบการดำเนินการดังกล่าวพบปรากฏการณ์ที่น่าตกใจ คือ ยาที่ประมูลได้มีราคาถูกลงตั้งแต่ 20-37% ตัวอย่างเช่น ยาเมธิลฟีนิเดท (Methylphenidate) 10 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นยารักษาโรคสมาธิสั้น
ราคาลดลงจากเดิม 37% หรือ ยาเฟนทานิล อินเจ็กชั่น (Fentanyl injection) ขนาด 2 และ 10 ml/amp ที่ใช้สำหรับการผ่าตัด ราคาลดลงจากเดิม 20-30% และเฟนทานิล ทรานเดอมอล (Fentanyl trandermal) ซึ่งเป็นแผ่นแปะระงับปวดในผู้ป่วยมะเร็ง ราคาลดลงจากเดิมถึง 36%
คุณหมอพิพัฒน์ บอกว่า ปัจจุบันหน่วยเงินทุนหมุนเวียนยาเสพติด มีหน้าที่จัดหาวัตถุเสพติดจำนวน 17 ชนิด แยกเป็นยาเสพติด 9 ชนิด และวัตถุ ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท 8 ชนิด สำหรับใช้ในทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ทั่วราชอาณาจักร ที่สำคัญคือ ทั้งหมดหมดพันธะด้านสิทธิบัตรแล้ว อย.จึงเปิดให้ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นบริษัทยาในประเทศหรือต่างประเทศได้มีการแข่งขันกันอย่างเสรี ในการนำเสนอยาที่มีคุณภาพต่อคนไทย
"การปรับระบบใหม่ของ อย. ทำให้หลายฝ่ายได้รับผลกระทบ เพราะ เหมือนเป็นการล้มเลิกระบบผูกขาดของยาต้นแบบ แน่นอนบริษัทยาข้ามชาติ หรือแม้แต่แพทย์ซึ่งเคยได้รับผลประโยชน์จากบริษัทข้ามชาติ รวมไปถึงองค์กรเอกชนบางองค์กรที่เป็นมือปืนรับจ้างออกมาเคลื่อนไหว กล่าวหาว่า อย. นำยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนในประเทศมาใช้กับคนไทย
ทั้งยังสร้างสถานการณ์ว่าเกิดความขาดแคลน ซึ่งล้วนเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทั้งสิ้น เห็นได้จากการที่ รพ.บางแห่ง ที่เป็นถึงโรงเรียนแพทย์ ไม่อนุญาตให้มีการนำยาชื่อสามัญที่ใช้สำหรับผู้ป่วยมะเร็งเข้ามาใช้ใน รพ.ทั้งๆที่ราคาถูกกว่าเป็นเท่าตัว" คุณหมอพิพัฒน์บอก
ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศไทยครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ นพ.พงศ์พันธ์ วงศ์มณี รองเลขาธิการ อย. ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า
"ในอเมริกา ซึ่งถือว่าเป็นประเทศที่มีระบบควบคุมคุณภาพยาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ปัญหาเรื่องการเลือกใช้ยาคุณภาพที่มีราคาเหมาะสม ที่จะทำให้คนอเมริกันสามารถเข้าถึงยาที่ตนเองต้องการได้อย่างพอเพียง ก็เป็นประเด็นที่มีการถกเถียงและสนใจศึกษามาเป็นเวลาหลายสิบปี
เนื่องจากระบบตลาดเสรีและการมีอายุจำกัดของสิทธิบัตรยาใหม่ ทำให้เกิดการแข่งขันในการผลิตยาในอเมริกาเป็นอย่างมาก จนกระทั่งมีคำถามว่า ยาราคาแพงหรือยาต้นแบบจำเป็นต้องดีกว่ายาสามัญที่มีราคาถูกกว่าหรือไม่"
วิโรจน์
คุณหมอพงศ์พันธ์ เล่าว่า จากความต้องการที่จะให้คนอเมริกันได้ใช้ยาคุณภาพในราคาที่เหมาะสม ทำให้มีการออกกฎหมาย The Drug Price Competition and Patent Term Restoration Act ในปี 2527 โดยกฎหมายฉบับนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างการคุ้มครองสิทธิบัตรในการคิดค้นและพัฒนายาใหม่ๆกับการเอื้อให้เกิดการแข่งขันในด้านราคายา และสนับสนุนให้มีการผลิตยาสามัญเพื่อแข่งขันกับยาต้นแบบที่สิทธิบัตรคุ้มครองยาหมดอายุแล้ว
ผลก็คือ ในช่วงระยะเวลาประมาณ 25 ปี จากที่เคยมีการใช้ยาสามัญในอเมริกาเพียง 12% เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 80% ของยาตามใบสั่งแพทย์ทั้งหมด สามารถประหยัดงบประมาณของประเทศได้หลายหมื่นล้านบาท
ขณะที่ ภก.วิโรจน์ สุ่มใหญ่ ผู้ช่วยเลขาธิการ อย. ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นขณะนี้ เกิดจากการที่วัตถุเสพติดที่ใช้ในทางการแพทย์นั้น ไม่มีการขึ้นทะเบียนในประเทศไทย จึงทำให้ถูกโจมตีว่าไม่มีคุณภาพ ไม่มั่นใจในความปลอดภัย เพราะในอดีตที่ผ่านมา ยากลุ่มนี้ ใช้วิธีซื้อเฉพาะยาต้นแบบจากต่างประเทศเข้ามาใช้ เนื่องจากทุกคนไว้วางใจในคุณภาพของยาต้นแบบทำให้ต้องใช้ยาแพง
ที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือ บริษัทที่เป็นเจ้าของยาต้นแบบเหล่านี้ใช้วิธีตั้งราคาตามใจชอบ ไม่สามารถต่อรองราคาได้ เพราะคิดเอาเองว่า ผูกขาดตลาดในไทยไว้ได้แล้ว ยังไงๆประเทศไทยก็ต้องซื้อ ดังนั้น ราคายาที่เสนอขายให้กับหน่วยเงินทุนจึงแพงแบบเสมอต้นเสมอปลาย" ภก.วิโรจน์บอกพร้อมกับแฉเบื้องลึกว่า
การที่ยามีราคาแพงนั้น เป็นเรื่องของกลไกการผูกขาดที่ซับซ้อน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับต้นทุนของวัตถุดิบและกระบวนการผลิต แต่ขึ้นอยู่กับการประชาสัมพันธ์ของบริษัทต่อผู้มีอำนาจในการใช้ยา โดยเฉพาะการสนับสนุนแพทย์ให้ใช้ยาของบริษัทตัวเอง
ส่งผลให้ราคายาที่เสนอขายในประเทศไทยแพงแบบน่าตกใจ เมื่อเทียบกับรายได้เฉลี่ยของประชากร
ผู้ช่วยเลขาธิการ อย. บอกว่า สำหรับยาเสพติดให้โทษประเภท 2 จำนวน 9 ชนิด ที่ อย. กำลังดำเนินการปลดล็อกระบบผูกขาดครั้งนี้ ประกอบด้วย โคคาอีน,โคเดอีน, เดกซ์โตรโพรพอไซฟีน, ไดเฟนอกไซเลต, เฟนทานิล, ฝิ่นยา, เมทาโดน, มอร์ฟีน, และเพทิดีน ส่วนวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ประเภท 2 มี อีเฟดรีน, แอมฟีพราโมน, ฟลูไนตราซีแพน, เมทิลเฟนิเดด, มิดาโซแลม, ไนตราซีแพม และเฟนเธอมีน ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถจัดเป็นตำรับยาได้ 42 สูตรตำรับ
ที่เป็นข้อถกเถียงกันมากตัวหนึ่ง คือ เฟนทานิล ซึ่งเป็นยาระงับปวดอย่างแรงขนานหนึ่ง ส่วนใหญ่จะใช้กันในหมู่วิสัญญีแพทย์ รวมทั้งแพทย์ด้านมะเร็ง โดยเฉพาะเฟนทานิล ทรานเดอมอล (Fentanyl trandermal)ซึ่งเป็นแผ่นแปะระงับปวดในผู้ป่วยมะเร็งนั้น แต่เดิมมีบริษัทเพียงบริษัทเดียวที่ผูกขาดตลาดอยู่
แต่หลังจากที่ อย. ได้ปรับลดราคาเฟนทานิล ชนิดแผ่นแปะผิวหนังลงจากเดิม 25-40% จากราคาแผ่นละเกินกว่า 1,000 บาท เหลือเพียงไม่กี่ร้อยบาท ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งที่มีฐานะยากจนได้มีโอกาสเข้าถึงยาระงับปวดที่มีคุณภาพได้มากขึ้น ทั้งยังประหยัดเงินค่าใช้จ่ายสุขภาพในส่วนของยาได้กว่าร้อยล้านบาท
เช่นเดียวกับในประเทศเยอรมนี จากมาตรการเดียวกัน ที่เริ่มต้นในปี 2008 ทำให้สามารถประหยัดงบประมาณของรัฐลงได้ถึงปีละ 15 ล้านยูโรหรือประมาณ 780 ล้านบาท รวมถึงขณะนี้สามารถประหยัดได้ถึง 50 ล้านยูโรหรือประมาณ 2,400 ล้านบาท
พิพัฒน์
"ก่อนหน้านี้ ดร.จิระวัฒน์ ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ผู้เชี่ยวชาญจากมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เคยเสนอแนะว่า อย. ควรจะมีบทบาททำให้แพทย์ที่สั่งใช้ยากับคนไข้เชื่อมั่นในคุณภาพของยาสามัญรวมทั้งยาที่ผลิตในประเทศทุกตำรับว่ามีความปลอดภัยเพียงพอ ซึ่งตอนนี้อย. ก็ได้เริ่มต้นแล้ว อยู่ที่บรรดาคุณหมอทั้งหลายจะปรับเปลี่ยนทัศนคติและมุมมองรวมถึงเริ่มต้นดำเนินการในเรื่องนี้อย่างไร" ภก.วิโรจน์บอก
เพราะถึงที่สุดแล้ว คนที่ได้ผลประโยชน์ก็คือ ประชาชน โดยเฉพาะคนจนๆ ที่ไม่เคยมีโอกาสได้เข้าถึงยาดีๆ จนต้องหันไปพึ่งยาผีบอกมานานปี ปัญหานี้แก้ไม่ยาก อยู่ที่ว่า คนที่ได้ชื่อว่าเป็นคุณหมอของคนยากคนจนจะยอมสละประโยชน์บางส่วนของตนเองให้กับพวกเขาเหล่านั้นหรือเปล่า...?
แหล่งที่มา ไทยรัฐ
12 March 2010