ดูจุดประสงค์ที่มีในหนังสือคู่มือเป็นแนวทางก่อนค่ะ ตอนแรกดูเสร็จแล้ว โดยส่วนตัวไม่ถูกใจ เลยทำใหม่เอง
1. ลองนึกภาพวันที่เราเป็นเภสัชกรวันแรกแล้วได้ทำงานในร้านยาสิคะ วันแรกเราอยากรู้อะไร งงตรงไหน มีประเด็นไหนที่เภสัชกรแหล่งฝึกไม่ได้บอก หรือเราไม่กล้าถาม หรือไม่มีเภสัชกรให้ถาม หรือเภสัชกรมีแต่ถามไปก็ไม่ตอบ พอลองนึกมาก็จะเจอเยอะแยะมากมาย เช่น
- ทำไมวางยาตรงนี้อ่ะ
- ทำไมยาเดียวกันมีเป็น 10 ยี่ห้อ
- ถ้ามันหมดอายุนี่จะรู้ได้ไง
- แล้วทำไมต้องมีบางตัวอยู่ในตู้เย็น
- ทำไมพี่เขาหยิบแต่ตัวนี้นะ ทำไมไม่หยิบตัวใกล้ๆกัน มันก็ยาเดียวกันนี่
- อ้าว ไม่มีเภสัชก็เปิดร้านยาได้เหรอ แล้วชื่อที่แขวนๆไว้นี่เป็นใครอ่ะ ไม่เห็นเคยเจอ
ฯลฯ
คิดคำถามเพื่อนำไปสู่คำตอบค่ะ คิดออกมาเยอะๆ แล้วจะทำให้เราเข้าใจว่า อ้อ ตอนเรายังเด็ก เราก็โง่นะ ตอนนี้เรารู้ เราก็ต้องเข้าใจว่าเด็กๆจะมาฝึกกะเรา มันก็โง่เหมือนที่เราเคยโง่นั่นแหละ เวลาเด็กๆถามอะไรเยอะแยะจะได้ไม่หงุดหงิดใส่ ท่องไว้ค่ะ เวลาเราฝึกเรายังอยากรู้ แล้วนับประสาอะไรกะน้องที่เราจะฝึก ถ้าเด็กไม่อยากรู้สิแปลก แสดงว่าเขาไม่ได้อยากเป็นเภสัชกร หรือไม่ชอบงานด้านนี้แล้ว
2. มองซ้ายมองขวาดูร้านตัวเองซะ จัดยาถูกถูกต้องตามหลักการหรือยัง เวลาน้องมาแล้วถาม เราจะได้มีคำตอบดีดี ไม่ไปบอกปัดว่า เดี๋ยวเปิดร้านยาก็รู้เองแหละ เพราะฉะนั้น จัดยาให้เรียบร้อย ยาอันตรายก็เก็บให้เข้าที่เข้าทาง ไม่ใช่คนไข้หยิบได้ตามสะดวก พวกยาอมหลายตัวเป็นยาอันตราย แต่พบเกลื่อนกลาดให้คนไข้หยิบเอง อย่างงี้เราก็ตอบเด็กไม่ได้ว่า พี่ๆทำไมมันวางไว้ตรงนั้นอ่ะ
ส่วนใหญ่จะเตรียมตัวจัดยาให้เป็นระเบียบสัก 1 เดือนก่อนน้องมา คือปกติมันก็อยู่ตามที่ทางเรียบร้อย แต่การเป็นเภสัชกรคนเดียว บางทีเราก็วางตามเราถนัด จนเคยตัว พอน้องมาเราต้องจินตนาการว่า มันต้องถามแน่ๆว่าทำไม Norflox ไปดูแถวๆ loperamide แล้วทำไม ranitidine ไปอยู่กับ anti-histamine เพราะฉะนั้น จัดการซะค่ะ ฝุ่นก็ให้มันจางๆหน่อย เดี๋ยวน้องรู้ว่า พี่มันรอพวกเรามาเช็ดนี่หว่า
3. แต่ละทำเลอาจไม่เหมือนกันค่ะ ถ้าดูแล้วคนไข้ชอบอ่าน ชอบถาม ก็หาหัวข้อให้น้องๆทำแผ่นพับ แต่ในฐานะพี่เภสัชกร ต้องตรวจแผ่นพับอย่างละเอียดนะคะ ควรจะเป็นแผ่นพับในขอบข่ายงานเภสัชกร ไม่ก้าวก่ายการรักษาหรือวินิจฉัย ระวังเรื่องจรรยาบรรณด้วยค่ะ ตรวจให้ละเอียด แล้วอย่าลืมว่าแผ่นพับต้องมีแหล่งที่มานะคะ ไม่ใช่ทำไปขำๆ ให้ดูเหมือนมีอะไรให้น้องๆทำ ไม่งั้นน้องเรียนจบไปก็จบแบบขำๆ กลายไปเป็นเภสัชกรแบบขำๆ เภสัชกรแขวนป้ายขำๆกันเกลื่อนเมือง
4. ที่ร้านไม่ได้เน้นให้น้องไปอ่านเรื่องไหนมาตอบ ไม่มีแบบทดสอบ เพราะไม่เห็นว่าจะทำให้น้องรู้เรื่องร้านยามากขึ้น มาปุ๊บก็จับจัดยาเลยค่ะ ดูพี่เภสัชไปก่อนนิดนึง พอเจอคนไข้เราก็ยืนประกบสอนพร้อมกับสอนคนไข้นั่นแหละ ขออนุญาตคนไข้ก่อนว่า น้องมาฝึกงานขอรบกวนเวลาสักครู่ให้น้องได้ซักถามประวัตินะคะ ส่วนใหญ่คนไข้ยินดี ไม่มีปัญหา พอน้องพูดอะไรผิดนิดหน่อย ดูแล้วเราพอเสริมได้ก็เสริมค่ะ ถ้ามันเพี้ยนไปมากก็เรียกคุยทีหลัง อย่าดุว่าน้องต่อหน้าคนไข้ เพราะจะทำให้น้องเขาเสียความมั่นใจค่ะ ดูแล้วมันเก้ๆกังๆไม่รู้จะจัดยาตัวไหน เราก็หยิบกระป๋องหรือแผงยานำไปก่อนเลย ให้น้องนับจนคล่องนั่นแหละ แล้วก็ให้เขียนฉลากเลย ถ้าเขียนผิดเราก็แนะนำพร้อมแก้ไข ทำสัก 5 อาทิตย์รับรอง น้องจะนับยาคล่อง จัดยาคล่อง และเขียนฉลากคล่องค่ะ เป็นประโยชน์มากกว่ามานั่งวัดน้องๆจากเกรดเฉลี่ยหรือแค่แบบทดสอบแน่นอน
5. ถ้าร้านไม่ค่อยมีเอกสาร บัตรแพ้ยา วิธีใช้ยาแบบพิเศษ ก็ให้น้องทำ อย่าลืมว่าน้องทำ เราตรวจ และเช็คให้ละเอียดนะคะ อย่าให้กลายเป็นงานของน้องเขาอย่างเดียว มันเป็นงานของพี่ในการดูแลและช่วยปรับปรุงค่ะ
6. สอนการจัดการในร้านตั้งแต่จัดยา จัดการลูกจ้าง ดูแลลูกค้า เงินทุนสำรอง อันนี้ของใครของมัน สอนกันไม่ได้
หลักๆก็เน้นความเข้าใจในการเป็นเภสัชชุมชน จรรยาบรรณ การแขวนป้าย มีวิธีเยอะแยะไปค่ะในการสอน ลองคิดวิธีการเฉพาะตัวดูค่ะ ถ้าเราสอนเหมือนกันทั้งประเทศไทย บางทีอาจได้เภสัชกรรูปแบบเดียว แต่ถ้ามีความหลากหลาย โลกมันจะกว้างขึ้นค่ะ เราอาจจะได้เห็นเภสัชกรชุมชนก้าวเข้ามามีบทบาทปรับเปลี่ยนโครงสร้างสาธารณสุขของประเทศไทยก็ได้