New Document









หนึ่งความคิดๆๆ ของสังคมเภสัชกรไทย แต่ไม่รู็จะไปได้ขนาดไหน

ห้องเภสัชกร

หนึ่งความคิดๆๆ ของสังคมเภสัชกรไทย แต่ไม่รู็จะไปได้ขนาดไหน

โพสต์โดย blacksmithday » 22 ส.ค. 2011, 17:51

เรียน อ.ธิดาที่เคารพอย่างสูง



กระผม เภสัชกร รพงษ์ เบศรภิญโญวงศ์ ปัจจุบันกำลังศึกษาระดับปริญญาโท ณ

คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นเภสัชกรรายคาบ โรงพยาบาลเลิดสิน

กรมการแพทย์ เคยทำงานที่โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา สภากาชาดไทย เป็นเวลา 13 เดือน ก่อนที่จะลาออกมาเรียนต่อ ด้วยประสบการณ์การทำงานดังที่กล่าวมา จึงได้มีโอกาสเห็นถึงความก้าวหน้าและปัญหาของวิชาชีพ ทั้งที่ประสบกับตนเอง และได้ยินจากเพื่อนๆ รุ่นพี่ รุ่นน้อง ผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม กระผมจึงขออนุญาตประมวลสิ่งต่างๆไว้ในจดหมายฉบับนี้ เพื่อเป็นข้อมูลในการทำงานของอาจารย์ในฐานะนายกสภาเภสัชกรรมต่อไป

สถานการณ์วิชาชีพในปัจจุบันนั้น ตามความคิดเห็นของผม ส่วนหนึ่งก็มีความก้าวหน้าในประเด็นที่ว่า ทุกกคนเริ่มใส่ใจที่จะประกอบวิชาชีพและพยายามแก้ปัญหาวิชาชีพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม มีปัญหาบางส่วนเกี่ยวกับวิชาชีพที่เป็นมาเรื้อรังและสมควรได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ปัญหาต่างๆตามที่ผมได้รับรู้ทั้งจากตนเองและคนรอบข้างมีดังต่อไปนี้



1. เรื่องค่าตอบแทนในการประกอบวิชาชีพ เภสัชกรที่ประกอบวิชาชีพตามโรงพยาบาลหรือร้านยานั้น บ่อยครั้งได้ค่าตอบแทนที่ไม่ค่อยสูงเมื่อเทียบกับรายจ่ายที่นับวันจะเพิ่มขึ้น กอปรกับระบบราชการที่มีลักษณะของการ ?ตกเบิก? ทำให้บ่อยครั้งเภสัชกรที่มีฐานะของทางบ้านที่ไม่ค่อยดี ต้องประสบกับปัญหาทางการเงิน ยกตัวอย่างของการตกเบิกเช่น เงินค่าวิชาชีพสำหรับการไม่ไปทำข้างนอก ของโรงพยาบาลในสังกัดองค์กรการกุศลที่ไม่หวังผลตอบแทนที่เก่าแก่และมีขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศไทย ซึ่งกำหนดจะจ่ายให้เดือนละ 5000 บาทนั้น กว่าเภสัชกรจะได้จริง ก็หลังจากทำเรื่องขึ้นไปแล้วเกือบหนึ่งปี ซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดการขาดสภาพคล่องของเภสัชกรได้ ปัญหาต่างๆเหล่านี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่บีบให้เภสัชกรต้อง ?แขวนป้าย? โดยไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก เพราะความจำเป็นของทางบ้าน เช่น มีภาระต้องส่งเสียญาติพี่น้องบุตรหลานเป็นต้น กระผมคิดว่า ในเมื่อสภาฯต้องการขจัดการแขวนป้ายให้หมดไป ต้องดำเนินขาทางด้าน ?พระคุณ? คู่กับขาด้าน ?พระเดช? กล่าวคือ นอกจากบังคับใช้กฎหมายหรือข้อบังคับอย่างเข้มงวดแล้ว สิ่งหนึ่งที่ควรจะทำก็คือ การช่วยให้เภสัชกรมีรายได้ ได้ค่าตอบแทนที่สมกับเป็นวิชาชีพที่ร่ำเรียนมาอย่างหนัก ทั้งนี้ ขอให้อาจารย์พิจารณาการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จะทรงช่วยชาวเขาให้เลิกปลูกฝิ่น ยังต้องมีพระราชดำริหาอาชีพทดแทนให้ชาวเขาซึ่งก็คือ การปลูกพืชเมืองหนาว จนกลายมาเป็นโครงการหลวงที่ประสบความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้



ปัญหาเรื่องเงินเพิ่มเติมพิเศษ (พตส) ก็นับเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่น่าจะพิจารณาว่า เภสัชกรควรจะได้เท่าไหร่ จึงจะสมกับวุฒิที่ร่ำเรียนมา ปัจจุบัน เงิน พตส จะอยู่ที่เดือนละ 1500 บาท และต้องรอการตกเบิก อาทิ โรงพยาบาลในสังกัดองค์กรการกุศลขนาดใหญ่ของประเทศไทยที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง จะจ่ายค่า พตส ที่เดือนละ 1500 บาท 6 เดือนจ่ายเป็นหนึ่งงวด คือเก้าพันบาท อย่างไรก็ตาม ก็มีปัญหาในเรื่องการทำเรื่องเอกสาร และการตกเบิก ทำให้เงิน พตส ได้ล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น อนึ่ง มีเภสัชกรบางท่านเห็นว่าควรได้ค่า พตส มากกว่า 1500 บาท เพราะจำนวนเงินที่ได้เท่ากับของพยาบาลที่เรียนแค่ 4 ปี ในขณะที่เภสัชกรใช้เวลาเรียน 5-6 ปี อันนี้นับเป็นจุดหนึ่งที่น่าพิจารณา



ค่าตอบแทนของเภสัชกรที่เรียน 6 ปี ควรจะเสมอกับแพทย์และทันตแพทย์ที่จบ 6 ปี รวมถึงเภสัชกรที่ได้รับหนังสืออนุมัติทางเภสัชกรรมจากทางสภาฯ ก็ควรที่จะได้รับค่าตอบแทนเพิ่มเติม กล่าวโดยสรุปค่าตอบแทนของเภสัชกรควรจะมีการเพิ่มขึ้นให้สอดคล้องกับวุฒิ และไม่ควรจะน้อยกว่าบุคลากรในสายวิชาชีพสาธารณสุขอื่นๆ เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ ตลอดจนเป็นการลดปัญหาการแขวนป้ายได้ในอีกส่วนหนึ่ง



2. ฐานะของเภสัชกรในองค์กรที่ทำงานโดยเฉพาะสายของโรงพยาบาล บ่อยครั้งที่เภสัชกรถูก ?กด? จากผู้บริหารที่เป็นแพทย์ จากกฎระเบียบที่ไม่เป็นธรรมขององค์กรนั้นๆ อาทิเช่น การแบ่งกะและค่าตอบแทนการอยู่เวรของโรงพยาบาลในสังกัดองค์กรการกุศลขนาดใหญ่ของประเทศไทยที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ให้ค่าตอบแทนเวรบ่ายต่อดึก 16 ชั่วโมง เท่ากับค่าตอบแทนเวรเช้า 8 ชั่วโมง รวมถึงปัญหาที่มักจะพบเวลาเภสัชกรเสนออะไรแพทย์ บางทีอาจจะถูกแพทย์บางท่านที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงเกินไป ปฏิเสธอย่างไม่ไยดี ตัวอย่างเช่น เภสัชกรท่านหนึ่งซึ่งทำงานอยู่ในโรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่งในจังหวัดฉะเชิงเทรา ได้เล่าให้ฟังว่า กลุ่มงานเภสัชกรรมของโรงพยาบาลนั้น ได้พยายามทำงานตามวิชาชีพอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการทำ antibiotic smart use, look alike sound alike ตลอดจนรณรงค์ให้แพทย์งดการใช้อักษรย่อที่ไม่เป็นสากลในใบสั่งยา ผลปรากฏว่า แพทย์มิได้ให้ความร่วมมือ ซ้ำยังถูกคณะกรรมการตรวจ HA หักคะแนนการประเมินกลุ่มงานเภสัชกรรม สภาพการณ์เช่นนี้ ย่อมเป็นการบั่นทอนขวัญและกำลังใจของเภสัชกรอย่างไม่ต้องสงสัย เภสัชกรหลายท่านถึงกับเที่ยวบอกคนอื่นว่า มีลูกมีหลานอย่าให้เรียนเภสัชกร



ภาระงานของเภสัชกรในฝ่ายนับเป็นสิ่งที่น่าคิด การทำงานเอกสารมากเกินไปเพื่อให้ผ่านการประเมินคุณภาพโรงพยาบาล ทำให้เวลาในการทำงานวิชาชีพน้อยลง มีผู้ให้ความเห็นว่าเกณฑ์การประเมินคุณภาพโรงพยาบาลหลายอย่าง น่าจะมีการปรับปรุง อาทิเช่น การรายงาน ADR ที่ต้องมีผู้ป่วยแพ้ยาอย่างรุนแรง เป็นต้น



การบรรจุยาเข้าบัญชียาของโรงพยาบาลนับเป็นปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่ง กลุ่มงาน/ฝ่ายเภสัชกรรม ควรจะมีอำนาจในการพิจารณาเลือกยาหรือเวชภัณฑ์มากกว่านี้ ปัญหาที่ผ่านมาคือ การที่บริษัทยาเข้าแทรกแซงโดยเสนอผลประโยชน์ผ่านแพทย์หรือผู้บริหาร ตลอดจนปัญหาการสั่งยาจากองค์การเภสัชกรรม ที่มีลักษณะเป็น ?เสือนอนกิน? จนทำให้เกิดปัญหายาขาด แต่ไม่มีการแจ้งล่วงหน้า หรือยาจากองค์การเภสัชกรรมมีราคาแพงกว่ายาจากบริษัทเอกชน (เรื่องขององค์การเภสัชกรรมนับเป็นอีกเรื่องที่น่าคิด เพราะชื่อขององค์การก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าเป็นของวิชาชีพเภสัชกรรม แต่กลายเป็นว่า ผู้บริหารระดับสูงกลับเป็นแพทย์)



ปัญหาการบรรจุเป็นข้าราชการของเภสัชกรนับเป็นสิ่งหนึ่งที่น่าจับตาดู ปัจจุบันเภสัชกรหลายท่านทำงานในหน่วยงานของรัฐบาล แต่มิได้มีฐานะเป็นข้าราชการ ซึ่งส่งผลต่อความก้าวหน้าและความมั่นคงในการทำงานเป็นอย่างมาก จากการที่เภสัชกรถูกประเมินว่าไม่ใช่วิชาชีพที่ขาดแคลน ยังส่งผลถึงเงินเดือนของเภสัชกรที่ได้เท่ากับสายอาชีพอื่นที่มีวุฒิปริญญาตรี คือเดือนละประมาณ 9000 กว่าบาท สภาเภสัชกรรมน่าจะมีการศึกษาว่า แท้จริง ความต้องการเภสัชกรในสถานพยาบาลนั้นมีมากกว่าที่กระทรวงสาธารณสุขประมาณการณ์ จำนวนเภสัชกรในปัจจุบันนั้น นับว่าค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ป่วยที่มหาศาลในโรงพยาบาลของรัฐ ทำให้การบริบาลทางเภสัชกรรมไม่สามารถเป็นไปได้ตามมาตรฐานของวิชาชีพ



อนึ่ง ผู้ป่วยในยุคปัจจุบันก็นับเป็นปัญหาสำคัญประการหนึ่ง ผู้ป่วยหลายคนมีลักษณะที่เรียกร้องเอาแต่สิทธิ จนถึงกับแสดงกิริยาและวาจาที่หยาบคายต่อหน้าเภสัชกรที่จ่ายยาหน้าช่องจ่ายยาหรือให้การบริบาลทางเภสัชกรรม สิ่งเหล่านี้ก็นับเป็นสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่บั่นทอนกำลังใจของเภสัชกร สภาฯเองควรคิดหาทางแก้ไขให้เภสัชกรสามารถยืนอยู่บนสังคมได้อย่างสง่างามมากกว่านี้



3. การประสานงานกันระหว่างองค์กรในวิชาชีพ บ่อยครั้งที่เภสัชกรผู้มีหน้าที่ปฏิบัติงานในสถานที่ทำงาน จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือทางวิชาการจากคณะเภสัชศาสตร์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งหลายครั้งก็มีความร่วมมือที่ดี แต่หลายครั้งก็ยังไม่เกิดความร่วมมือ หรือ อาจถูกอาจารย์ด่ากลับเอาเสียด้วยซ้ำว่า ?จบแล้วไปหาเอง? ซึ่งจุดนี้ ผมอยากให้อาจารย์เข้าใจว่า การเข้าถึงฐานข้อมูลในสถานที่ทำงานนั้น คงไม่ง่ายเหมือนกับเข้าถึงจากทางมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถานที่ทำงานที่อยู่ในต่างจังหวัด ตรงนี้ ผมคิดว่า เราควรจะมีการสร้างภาคีในการพัฒนาร่วมกัน โดยมีเภสัชกรผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการเป็นทัพหน้า และมีคณะเภสัชศาสตร์ตามมหาวิทยาลัยต่างๆให้ความสนับสนุนทางด้านวิชาการอย่างใกล้ชิด เปรียบเสมือนทัพหนุน



อนึ่ง การแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างโรงพยาบาลนั้น บางทีก็เป็นปัญหา อาทิเช่น การแลกเปลี่ยนความรู้ในการเตรียม extemporaneous preparations ปรากฏว่าเกิดปัญหา ?หวงสูตร? ขึ้น ตรงนี้ น่าจะได้รับการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง โดยการสร้างภาคีระหว่างโรงพยาบาลเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันในด้านต่างๆ เพื่อความสามัคคีที่แท้จริงของชาวเขียวมะกอก ตลอดจนผลประโยชน์สูงสุดที่ผู้ป่วยพึงจะได้รับอีกด้วย



4. การสร้างนิสิต/นักศึกษาเภสัชศาสตร์ ตลอดจนการสอบใบประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม นับเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่น่าพิจารณา ผมมีความคิดเห็นว่า คณะเภสัชศาสตร์ในทุกวันนี้มีจำนวนค่อนข้างมากกว่าตลาดงานที่จะรองรับได้ สภาฯจึงควรมีการดูแลอย่างเข้มงวด อนึ่ง เรื่องการสอบใบประกอบฯในปัจจุบัน มีปัญหากฎระเบียบบางข้อที่ไม่เป็นธรรมต่อนิสิต/นักศึกษาผู้เข้าสอบ อาทิ การห้ามผู้เข้าสอบเข้าห้องน้ำระหว่างการสอบ 3 ชั่วโมง หรือการจัดสอบในวันเลือกตั้ง สิ่งเหล่านี้สภาฯควรจะพิจารณาโดยรอบคอบ ขั้นตอนการสมัครที่เพียงแค่ลืมแจ้งการโอนเงิน กลับถูกยึดเงินและไม่มีสิทธิเข้าสอบ หรือเรื่องการฝนรหัส ที่ฝนรหัสผิดแค่ตำแหน่งเดียว กลับถูกปรับตก ซึ่งผมคิดว่าเป็นบทลงโทษที่รุนแรงจนเกินไป สภาฯควรมีการพิจารณาเรื่องนี้โดยรอบคอบ โดยให้นิสิต/นักศึกษาแต่ละสถาบันร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย เพื่อการดำเนินงานที่ดีที่สุดและยังประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เข้าสอบ อนึ่ง ผมเห็นว่าไม่ควรแยกการสอบใบประกอบเป็นสารเภสัชศาสตร์และสายเภสัชกรรม เพราะเภสัชกรไม่ว่าอยู่ในสายไหนควรจะมีความรู้ทั้งสองด้าน และเพื่อเป็นการรองรับตลาดงานที่ส่วนใหญ่ยังเป็นสายบริบาลเภสัชกรรม



5. ปัญหาการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมชุมชน,เภสัชสาธารณสุขและเภสัชการตลาด ผมมีความคิดเห็นว่า การเปิดร้านยาต่อไป ควรให้ผู้ขอใบอนุญาตเปิดร้านยาเป็นเภสัชกรเท่านั้น เพื่อลดปัญหานายทุนเปิดร้านยาแล้วเอาเภสัชกรมาแขวนป้าย ส่วนในเรื่องเภสัชสาธารณสุขนั้น บ่อยครั้งที่พบว่า เภสัชกรที่ทำหน้าที่ดังกล่าวกลับทำผิดกฎเสียเอง อาทิเช่นการเป็นผู้หาร้านยาให้เภสัชกรอื่นๆแขวนป้าย หรือการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ที่ยังปล่อยให้มีการโฆษณาเกินจริง เช่น โฆษณากาแฟลดน้ำหนักเผยแพร่ตามสื่อต่างๆ ส่วนเภสัชการตลอดนั้น มีปัญหาจากผู้แทนยาบางท่าน ที่มีการใช้ข้อมูลที่เกินจริง หรือมิได้เป็นความจริงในการนำเสนอยา ทำให้วิชาชีพขาดความน่าเชื่อถือ



6. ปัญหาการศึกษาต่อเนื่องของเภสัชกร ปัจจุบันมีการจัดอบรมวิชาการก็จริง แต่มีค่าลงทะเบียนที่สูง และจัดอบรมในวันและเวลาราชการ ทำให้เภสัชกรไม่สามารถเข้าร่วมได้อย่างทั่วถึง สภาเภสัชกรรมน่าจะมีนโยบายในการจัดทำบทความการศึกษาต่อเนื่องผ่านทางจดหมายข่าวของสภาฯ เพื่อให้เภสัชกรสามารถเข้าถึงการศึกษาต่อเนื่องได้อย่างทั่วถึง



7. ตลาดงาน น่าจะมีการเพิ่มโอกาสของเภสัชกรที่จบทางด้านสายเภสัชศาสตร์มากขึ้น เพราะการรักษาที่ดีนั้น ก็จำเป็นต้องอาศัยยาหรือเภสัชภัณฑ์ที่ดีด้วย อีกทั้งประเทศไทยยังมีทุนที่ดี นั่นก็คือ สมุนไพรที่สมควรจะได้รับการส่งเสริมต่อไป



8. การดำเนินงานของสภาเภสัชกรรม สภาพของสภาฯที่ผมเคยเห็นเมื่อหลายปีนั้น เป็นแค่ห้องเล็กๆ มีเจ้าหน้าที่ไม่กี่คน ซึ่งผิดกับแพทยสภา และการกระจายข่าวสารของสภาฯไปยังสมาชิกผู้ประกอบวิชาชีพก็ยังเป็นไปอย่างไม่ทั่วถึง หลายคนแม้แต่อาจารย์ในมหาวิทยาลัยก็ยังไม่รู้จักเภสัชกรที่มีผลงานดีเด่นอย่างเช่น ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร สิ่งนี้นับเป็นจุดที่น่าคิด ว่าวิชาชีพเรายังขาดการประสานงานและการประชาสัมพันธ์อยู่มาก

กล่าวโดยสรุป ปัญหาที่เภสัชกรประสบทุกวันนี้ ได้แก่ ปัญหาค่าตอบแทนที่ไม่สมกับวุฒิ ปัญหาในที่ทำงานที่ถูกกดจากระบบ ปัญหาการประสานงานระหว่างวิชาชีพด้วยกันเอง และปัญหาจริยธรรมในการประกอบวิชาชีพ ถ้าข้อมูลที่นำเสนอมีความผิดพลาดประการใด กระผมในฐานะเภสัชกรผู้น้อยที่ยังอ่อนด้อยทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิ ต้องกราบขออภัยต่ออาจารย์เป็นอย่างสูง แต่ผมเชื่อในสิ่งที่ทำว่าทำด้วยเจตนาอันดีต่อวิชาชีพให้สมกับที่เราร้องเพลงว่า ?เภสัชกรจะไว้ชื่อชั่วดินฟ้า? ขออาจารย์โปรดพิจารณาข้อมูลในจดหมายฉบับนี้ด้วย การเขียนจดหมายฉบับนี้เกิดขึ้นด้วยเจตนาส่วนตัวของผม บุคคลและ/หรือหน่วยงานอื่นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือชักนำ และถ้าอาจารย์เห็นว่ามีสิ่งใดที่ผมพอจะช่วยได้บ้าง ขอความกรุณาอาจารย์แจ้งมาที่ผมได้เลย ถ้าสิ่งดังกล่าวไม่เกินความสามารถแล้ว ผมจะพยายามทำเพื่อวิชาชีพอันเป็นที่รักของพวกเราทุกคน

จึงเรียนมาเพื่อพิจารณา และขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย โปรดคุ้มครองให้อาจารย์มีความสุข สามารถทำงานเพื่อวิชาชีพของพวกเราได้อย่างเต็มที่ด้วยเทอญ

ขอแสดงความนับถือ





เภสัชกร รพงษ์ เบศรภิญโญวงศ์

ผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม

ใบอนุญาตฯเลขที่ ภ. 23697

http://www.facebook.com/notes/rapong-be ... 4855123401
blacksmithday
 
โพสต์: 192
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ย. 2007, 19:21







Re: หนึ่งความคิดๆๆ ของสังคมเภสัชกรไทย แต่ไม่รู็จะไปได้ขนาดไห

โพสต์โดย DKNY » 24 ส.ค. 2011, 15:31

เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงและบ่อยมากสำหรับเภสัชกรชาวไทย
แต่บางทีพวกเราก็ต้องปล่อยวาง
เรื่องการเรียนหกปี ถ้าจบมาก็ยังได้เงินเดือนเท่าเดิม ยอมรับเถอะ อันนี้ระบบราชการไทยยากนะที่จะเปลี่ยนแปลง
เรื่องที่ต้องชนกับวิชาชีพอื่นๆ ยังไงก็แก้ไม่ได้ แพทย์ก็คือแพทย์ เภสัชก็คือเภสัช อันนี้มันเป็นสัจธรรม พาวเวอร์ไม่เท่ากันอยู่แล้ว
ใครที่รับเรื่องอีโก้ไม่ไหวแนะนำอย่ามาเรียนเภสัช ไปเรียนแพทย์ ถ้าสอบรัฐไม่ติดก็ลองไปเอกชน เตรียมเงินเจ็ดหลัก รับรองมียศ นพ พญ
นำหน้าชื่อแน่นอน เท่มากมาย
แพทย์เจองานหนัก ผ่าตัด เจอเลือด เจอของเสีย คนไข้จะรอดไหม ตายไหม เค้าเครียดทุกวัน อันนี้ยกให้เค้าไป รายได้หลักแสนหลักล้านยกให้เค้าไป
เภสัชเรางานสบายกว่าเค้าเยอะ ค่าตอบแทนต่างกันมากบ้างน้อยบ้างอย่าไปซีเรียสเลย หลักหมื่นพออยู่ได้ก็โอแล้ว คิดถึงในหลวง พอเพียงคับ

ผมก็เป็นคนนึงที่เลือกจะไม่ไปเข้าสู่สายโรงพยาบาลเพราะต้องไปชนกับวิชาชีพอื่น
ชนมากเรามักเจ็บมากกว่าเหมือนทำประกันชั้นสาม ไปชนประกันชั้นหนึ่ง
เลือกสายโรงงานครับอย่างน้อยเป็นทางที่วิชาชีพเภสัชกรมีค่า แพทย์คงไม่สามารถมาตอกเม็ด มา wet granulation มา final sterile ได้เท่าเราหรอก หรือไม่ก็ร้านยา เปิดร้านเอง ร้านของเรา ใครจะมาว่า ไม่พอใจเชิญออกนอกร้านครับ
ภญ ดร สุภาภรณ์ท่านเป็นบุคคลแห่งชาติ ยาสมุนไพรไทย มีประสิทธิภาพดีมาก แต่นิสิตไม่ค่อยมีใครเลือก pharmacog เป็นสาขาเน้น น่าเศร้า
เหนื่อยแล้วครับเดี๋ยวมาต่อ ผมบ่นเฉยๆครับ อย่าคิดมาก เภสัชกรยังคงเป็นวิชาชีพที่มีเกียรติครับ คอนเฟิม
รูปภาพ


รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
DKNY
 
โพสต์: 519
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2011, 01:25

Re: หนึ่งความคิดๆๆ ของสังคมเภสัชกรไทย แต่ไม่รู็จะไปได้ขนาดไห

โพสต์โดย bodin705 » 24 ส.ค. 2011, 16:12

ทำไมต้องมองว่าชนกับแพทย์ ทั้งที่จริงแล้วเราคือสายเดียวกัน ภาระหน้าที่ก็เพื่อคนไข้ไม่ใช่หรอ

เห็นมีแต่คนร้องแรกแหกกระเจิง แล้วก็ไม่ทำอะไร วันๆเอาแต่นั่งบ่น

จนป่านี้ไอพวกที่ประท้วงขึ้นเก้าอี้รัฐมนตรีหมดแล้ว มองดูแล้วก็...
bodin705
 
โพสต์: 35
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 15:02

Re: หนึ่งความคิดๆๆ ของสังคมเภสัชกรไทย แต่ไม่รู็จะไปได้ขนาดไห

โพสต์โดย white-blue » 24 ส.ค. 2011, 19:43

อื่นๆเห็นด้วย ประเด็นเรื่องค่าลงทะเบียนประชุมหรือ module ก็น่าสนใจว่ามันแพงพอสมควรทีเดียว

แต่

อย่าพยายามเอาเภสัชไปเทียบกับแพทย์และพยายามผลักดันให้ไปเท่าเทียมกันเลยมันเป็นไปไม่ได้ นับระยะเวลาของหลักสูตรเท่ากันจริงแต่ความรู้ความสามารถต่างกันเยอะมาก ความรับผิดชอบก็ต่างกันเยอะมาก ภาระงานก็ต่างกันเยอะมาก แพทย์ได้ค่าตอบแทนเยอะกว่าก็เป็นสิ่งที่สมควรอยู่แล้ว เภสัช รพ ตอนนี้ผมก็มองว่ามันเยอะสมน้ำสมเนื้ออยู่แล้ว ถ้าเอาอำนาจการบริหารมาให้เภสัชกร หรือทันตแพทย์ หรือพยาบาลถามว่าแพทย์จะอยู่กันได้มั้ย? ใน รพ จะไม่มีแพทย์อยู่เลยแม้แต่คนเดียว ลาออกกันหมด คนไข้ก็ซวยไป (ขนาดทุกวันนี้มีอำนาจยังไม่ค่อยอยากอยู่กันเลย ผิดกับเภสัชที่เข้าไปก็อยู่กันยันแก่นั้นแหละ :lol: ) อีกอย่าง ไม่ใช่ทุก รพ หรอกที่เภสัชโดนกด รพ ที่เภสัชมีอำนาจมีฝ่ายต่างๆให้ความเคารพนับถือมันก็มี ซึ่งอันนี้มันขึ้นอยู่กับทักษะและอำนาจและความสามารถของหัวหน้าเภสัชแต่ละ รพ นั้นแหละไม่เกี่ยวอะไรกับสภาเภสัชหรอก พูดง่ายๆหัวหน้าดีก็ดีไป หัวหน้าไม่ดีไม่มีพาวเวอร์ก็ซวยไป ถ้าอยากอยู่ รพ รัฐ ให้มีความสุขก็ปฏิบัติหน้าที่ของตนเองให้เต็มที่ อย่าไปคิดว่าต้องมีอำนาจอย่างนู้นอย่างนี้ หน้าที่ของเภสัชกรคือการ support แพทย์ในเรื่องของยา ข้อมูลต่างๆ อำนวยความสะดวก double check ยาดู DI ทำงานคุณภาพ ตรวจร้านยา 9ล9 อะไรก็ว่าไป ถ้าอยากมีอำนาจก็ไปเรียนต่อแพทย์ซะ จะได้มีอำนาจสมใจแต่สิ่งที่ตามมาบอกได้เลย นรกชัดๆ ทั้งตอนเรียนและหลังเรียนจบ ลองไปเรียนดูแล้วจะเข้าใจว่าทำไมค่าตอบแทนแพทย์ถึงเยอะกว่าเภสัช

ถ้าอยากอยู่ รพ ให้มีความสุขอย่าพยายามไปเปรียบเทียบ ปล่อยวางบ้าง ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ถ้าเป็นคนคิดมากคิดเล็กคิดน้อยลาออกไปเปิดร้านทำธุรกิจส่วนตัวไปเลย อยู่ต่อไประวังจิตตกกลายเป็นคนบ้าไม่รู้ด้วยนะ :lol:

ปล. แต่ชื่นชม จขกท นะดีกว่าพวกไม่ทำอะไรเลยดีแต่พูดไปวันๆ ในบอร์ดนี้มีเยอะพวกนักพูดแต่ไม่ปฏิบัติเนี่ย :lol:
เพราะแสวงหา...มิใช่เพราะรอคอย

เพราะเชี่ยวชาญ...มิใช่เพราะโอกาส

เพราะสามารถ...มิใช่เพราะโชคช่วย

ดังนี้แล้ว "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน"
white-blue
 
โพสต์: 350
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ค. 2009, 11:32


ย้อนกลับไปยัง เอสเปรสโซ่

ผู้ใช้งานขณะนี้

New Document