New Document









เรื่องเล่าไม่ต้องเข้าสภา ตอนที่ 8 - Group Think

ห้องเภสัชกร

เรื่องเล่าไม่ต้องเข้าสภา ตอนที่ 8 - Group Think

โพสต์โดย winnwin » 14 มี.ค. 2011, 11:08

Groupthink... โรคพวกมากลากไป

โดย วินัย วงศ์สุรวัฒน์ คณะวิทยาการจัดการ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) มติชนรายวัน วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11217

ในบทความที่เขียนลงในหนังสือพิมพ์ The New York Times นายโรเบิร์ต ชิลเลอร์ (Robert Shiller) ศาสตราจารย์ทางเศรษฐศาสตร์ และการเงินประจำมหาวิทยาลัยเยล (Yale) ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ก่อนวิกฤตการณ์การเงินที่กำลังระอุอยู่ในขณะนี้ ไม่มีกลุ่มผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐศาสตร์ลุกขึ้นมาเตือนรัฐบาล หรือนักลงทุน ถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นเลย (จะมีคนทำนายเหตุการณ์ดังกล่าวก็เพียงประปราย และไม่ได้มีการฟันธงอย่างจริงจัง)

นายชิลเลอร์เชื่อว่า ปัญหาในตลาดการเงินและอสังหาริมทรัพย์ได้ส่งสัญญาณบ่งบอกมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่เหตุใดจึงไม่มีกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ลุกขึ้นมาทำนายปัญหานี้อย่างหนักแน่นและน่าเชื่อถือ?

ที่น่าแปลกยิ่งกว่านั้นคือ นายชิลเลอร์เล่าว่าตนเคยนั่งรถแท็กซี่ในไมอามี (Miami) เมื่อสองปีก่อน และคนขับรถก็ชี้ให้ตนเห็นถึงการก่อสร้างอันบ้าคลั่ง คนขับคนนั้นใช้สามัญสำนึกฟันธงไปว่า ปริมาณอุปทาน (supply) ที่มากล้นเกินอุปสงค์ (demand) ในขณะนั้น เป็นฟองสบู่ที่อันตราย หากวันใดฟองสบู่แตก ความหายนะอันน่ากลัวจะต้องเกิดขึ้นเป็นแน่ นี่เป็นบทวิเคราะห์อันเฉียบขาด (และถูกเผง) ของคนเรียนไม่จบชั้นมัธยม แต่คนเรียบจบดอกเตอร์ทางเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายกลับพากันอ้ำอึ้ง หรือไม่ก็เงียบเป็นเป่าสาก

นายชิลเลอร์วิเคราะห์ว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นักเศรษฐศาสตร์ไม่ออกมาทำนายถึงปัญหาก่อนหน้าที่มันจะเกิดขึ้น ก็เพราะความหวาดหวั่นว่าจะถูกมองว่าเป็นพวก "นอกคอก" ทั้งนี้เพราะในช่วงปีสองปีที่แล้ว บทวิเคราะห์เศรษฐกิจของผู้เชี่ยวชาญน้อยใหญ่ มักจะออกมาในแง่บวกเหมือนกันหมด กล่าวคือ แม้ว่าตลาดการลงทุนและตลาดอสังหาริมทรัพย์จะมีความเสี่ยงสูงและผจญกับปัญหาอยู่บ้าง แต่สภาพเศรษฐกิจโดยรวมก็ยังถือว่าดีอยู่ ไม่มีอะไรน่าห่วง

ทีนี้ใครเกิดผ่าเหล่า ออกมาตีปี๊บเตือนชาวบ้านว่าวิกฤตการณ์การเงินกำลังจะเกิดขึ้น ก็จะถูกมองว่าเป็นพวกเรียกร้องความสนใจ พูดอะไรหวังความดังเป็นหลัก แน่นอนอว่านักเศรษฐศาสตร์ก็เป็นคนเหมือนกัน และก็ย่อมต้องการความยอมรับจากเพื่อนฝูงในวงการเดียวกัน

สุดท้ายจึงไม่มีนักเศรษฐศาสตร์คนไหนกล้าออกมาทำนายถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น แม้ว่าพวกเขาจะเห็นหลักฐานการเกิดฟองสบู่อยู่ตำตา ก็แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น

ยิ่งไปกว่านั้น หากคนนอกซึ่งไม่ใช่เศรษฐศาสตร์พูดถึงปัญหาฟองสบู่ นักเศรษฐศาสตร์ก็มีแนวโน้มที่จะทำหูทวนลม โดยสรุปเอาว่าคนพวกนั้นไม่มีความรู้เพียงพอ

นักจิตวิทยาเรียกปรากฏการณ์ที่ทำให้กลุ่มคิดอะไรเพี้ยนๆ หรือตัดสินใจผิดพลาด เนื่องมาจากสมาชิกมีความเกรงใจ ไม่กล้าผ่าเหล่าหรือแตกแถวว่า Groupthink ปรากฏการณ์ดังกล่าว มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นได้มากในกลุ่มคนที่มีความสัมพันธ์เหนียวแน่น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูง และสมาชิกแต่ละคนกำลังต้องการความยอมรับจากสมาชิกคนอื่น

เออร์วิง แจนิส (Irving Janis) นักจิตวิทยาผู้ศึกษาพฤติกรรม Groupthink ในหลายๆ กรณี ได้บรรยายถึงอาการแปดประการของโรคดังกล่าวดังต่อไปนี้

1.ความงมงายที่ว่ากล่มต้องอยู่ยั้งยืนยง

2.ความงมงายที่ว่ากลุ่มมีคุณธรรมเหนือใครๆ คนอื่น

3.การถูไถหาเหตุผลเลื่อนลอยมาสนับสนุนมติของกลุ่ม

4.การเหมาเอาว่าคนนอกที่คัดค้านมติของกลุ่ม โง่ / ชั่ว / บ้า ... เหมือนกันหมด

5.ความไม่กล้าปริปากพูดในสิ่งที่ขัดแย้งกับมติของกลุ่ม

6.ความงมงายที่ว่ากลุ่มมีมติเอกฉันท์เสมอ

7.การข่มขู่-กดดันพวก "แตกแถว" หรือ "นอกคอก"

8.การพยายามเซ็นเซอร์หลักฐาน-ข้อมูลที่ขัดแย้งกับมติของกลุ่ม

ในตัวอย่างของนายชิลเลอร์ พฤติกรรมของนักเศรษฐศาสตร์วินิจฉัยได้ว่าเข้าข่ายอาการข้อที่ 3, 4, 5, 6 และ 7

โรค Groupthink นี้มีบางทีอาจนำกลุ่มไปสู่ผลลัพธ์ที่สมาชิกแทบทุกคนไม่ชอบได้เหมือนกัน ตัวอย่างคลาสสิคที่นักจิตวิทยามักกล่าวถึงคือ Abilene paradox ซึ่งพอจะสรุปได้ดังต่อไปนี้

ครอบครัวชาวเท็กซัสกำลังนั่งพักผ่อนหย่อนใจกันอย่างสบายอารมณ์เมื่อพ่อตาเอ่ยขึ้นมาว่า "เราไปกินข้าวเย็นที่เมือง Abilene กันดีกว่า" ทั้งๆ ที่อากาศบ่ายนั้นร้อนระอุและเมืองดังกล่าวก็อยู่ไกลออกไปกว่าห้าสิบไมล์ ลูกสาวกลับตอบว่า "ก็ดีเหมือนกันค่ะ" เมื่อลูกเขยได้ยินดังนั้น ก็ตอบตกลงไปด้วย ทั้งๆ ที่ในใจก็คิดอยู่ว่าทั้งร้อนทั้งไกล จะคุ้มค่าเหนื่อยหรือนี่ เมื่อทุกคนหันไปหาแม่ยาย แม่ยายก็เห็นดีเห็นงามด้วย โดยบอกว่าเธอเองก็ไม่ได้ไปเที่ยวที่นั่นมาหลายปีแล้ว

เมื่อเป็นเช่นนั้น ครอบครัวดังกล่าวจึงออกเดินทางไปกินข้าวเย็นกันที่เมือง Abilene ตามข้อตกลง การเดินทางในบ่ายนั้นทั้งร้อนทั้งสกปรก ใช้เวลานั่งรถไปกลับร่วมสี่ชั่วโมง แถมอาหารที่ไปกินกันก็สุดห่วย

เมื่อกลับมาถึงบ้าน พ่อตาก็เปรยขึ้นมาว่า "ไปเที่ยว Abilene คราวนี้สนุกใช่ย่อยนะ " ได้ยินดังนั้น แม่ยายก็ตอบว่า "ความจริงฉันไม่ได้อยากไปสักเท่าไหร่หรอก แต่ที่ไปก็เพราะอีกสามคนอยากไปเท่านั้นเอง"

ลูกเขยก็เลยพูดขึ้นมาบ้างว่า "ผมเองก็ไม่ได้อยากไป แต่ตอบตกลงไปเพื่อเอาใจคนอื่นๆ เท่านั้น"

ลูกสาวฟังแล้วก็งงๆ จึงตอบบ้างว่า "ที่จริง ฉันยอมไปผจญความลำบากทั้งบ่ายเพราะคิดว่า เป็นความสุขของพวกคุณทุกคนต่างหาก"

พ่อตาได้ยินดังนั้นก็เกาหัวแกรกๆ พร้อมพูดว่า "ที่เสนอให้ไปกันเมื่อตอนบ่ายเพราะนึกว่าทุกคนเบื่อ ไม่มีอะไรทำซะอีก ความจริงพ่อเองก็ไม่ได้อยากไปมากนักหรอก"

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า โรค Groupthink อาจทำให้การตัดสินใจของกลุ่มเป็นไปในทางที่ตรงกันข้าม กับความต้องการของสมาชิกทุกคนได้อย่างน่าฉงน พฤติกรรมของครอบครัวชาวเท็กซัส วินิจฉัยได้ว่าเข้าข่ายอาการโรค Groupthink ข้อที่ 3, 5 และ 6

เรื่อวราวประหลาดของครอบครัวชาวเท็กซัสอาจฟังดูคุ้นๆ สำหรับครอบครัวคนไทยบางครอบครัว ที่ร่วมใจตกลงกันจะมีพิธีมงคลสมรสอันยิ่งใหญ่ สุดแพง และแสนที่จะวุ่นวาย...ผู้เขียนมีสมมติฐานว่า ถ้าไปถามเจ้าบ่าวว่าจัดงานเว่อร์ๆ นี้ทำไม เจ้าบ่าวก็จะบอกว่ายอมถังแตกเพื่อความสุขพ่อ-แม่ และเจ้าสาว

ถ้าไปถามเจ้าสาวก็จะได้คำตอบว่ายอมลำบากเหนื่อยยากกับงานแต่งเพื่อพ่อ-แม่ของตัวเองและความสนุกสนานของแขกเหรื่อ เพื่อนฝูง

เมื่อไปถามพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายก็คงได้รับคำตอบว่า ยอมลำบากเพื่อลูกๆ และชาวบ้าน สุดท้ายถ้าไปถามชาวบ้านว่า มางานทำไม ก็คงได้คำตอบว่ายอมลำบากมา (ทั้งเปลืองเงินทั้งรถติด) เพื่อความสุขของคู่บ่าวสาว และพ่อ-แม่ของทั้งสองฝ่าย

การตัดสินใจเพี้ยนๆ จากโรค Groupthink ในบางกรณีอาจนำไปสู่ความหายนะได้ ดังเช่นตัวอย่างการตัดสินใจของวิศวกรนาซา (NASA) เรื่องการส่งยานอวกาศ Challenger ในวันที่ 28 มกราคม 1986

ก่อนวันสำคัญดังกล่าว มีวิศวกรจำนวนหนึ่งพยายามเตือนผู้บริหารนาซาว่า อุณหภูมิที่ต่ำกว่าปกติในขณะนั้น

อาจมีผลทำให้ลูกยางกันรั่ว (หรือที่เรียกว่า "O-rings") มีคุณสมบัติเปลี่ยนไป ทำให้ไม่สามารถทำหน้าที่กันรั่วได้ตามที่ถูกออกแบบมา อย่างไรก็ตาม เนื่องจากว่าในขณะนั้น องค์การนาซากำลังได้รับความกดดันเรื่องภาพพจน์การทำงานล่าช้า ไร้ประสิทธิภาพ หากเลื่อนการส่งยานอวกาศออกไปเพราะปัญหาดังกล่าว ภาพพจน์ไม่ดีก็อาจจะแย่ลงไปอีก

จากการวิเคราะห์ของเออร์วิง แจนิส ทีมงานนาซาที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจสำคัญครั้งนั้น ได้พากันติดโรค Groupthink โดยกดดันเพื่อนวิศวกรด้วยกันเอง ให้หันมาเห็นพ้องกับมติของกลุ่มว่า ปัญหาลูกยางกันรั่วนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ (แต่ปัญหาภาพพจน์ขององค์การเป็นสิ่งที่เร่งด่วนและสำคัญกว่ามาก) ทั้งนี้ก็ด้วยเหตุผลที่ว่า องค์การนาซาเคยส่งยานอวกาศอื่นๆ มามากมาย ไม่เห็นจะเคยมีปัญหา พวกวิศวกรที่โวยวายเรื่องลูกยางกันรั่วเป็นพวกจิตตก ไม่น่าเชื่อถือ ความเห็นที่สอดคล้องต้องกันของวิศวกรคนอื่นๆ น่าเชื่อกว่ามาก ฯลฯ

พอกดดันกันเองจนได้ที่แล้ว (คือไม่มีใครกล้าหือ ลุกขึ้นมาแย้งมติของกลุ่ม) ก็เซ็นเซอร์หลักฐานที่บ่งชี้ว่าลูกยางกันรั่ว อาจไม่ทำงาน แล้วก็ส่งมติอันเป็นเอกฉันท์ไปให้ผู้บริหารนาซาว่า ยานอวกาศ Challenger พร้อมออกเดินทาง

ผลที่ออกมาก็คือ ยานอวกาศระเบิดเป็นจุลภายหลังการส่งยานเพียงเจ็ดสิบสามวินาที ลูกเรือทุกคนตายเรียบ

โดยเหตุการณ์อันน่าสลดทั้งหมดมีชาวอเมริกันนับล้านเฝ้าชมเป็นสักขีพยาน สาเหตุการระเบิดสรุปออกมาภายหลังว่า เกิดจากลูกยางกันรั่วเสื่อมสมรรถภาพ เพราะอุณหภูมิที่ต่ำผิดปกติ ทำให้เชื้อเพลิงรั่ว เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ยานอวกาศระเบิดในวันนั้น

พฤติกรรมของวิศวกรนาซาในครั้งนั้น วินิจฉัยได้ว่าเข้าข่ายอาการโรค Groupthink ข้อที่ 1-8 ครบทุกข้อ

แน่นอนว่าความสมัครสมานพร้อมเพรียงของสมาชิกในกลุ่มเป็นเรื่องสำคัญ และมีคุณอนันต์ในหลายๆ โอกาส อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างอันตรายของโรค Groupthink ที่ยกมา น่าจะเป็นข้อเตือนใจว่า การเน้นความพร้อมเพรียงสามัคคีอย่างสิ้นเชิง โดยไม่ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง และใช้อิทธิพลกลุ่มข่มขู่พวกแตกแถวนั้น สุดท้ายอาจนำมาซึ่งผลลัพธ์อันไม่น่าอภิรมย์ก็เป็นได้

_____________________________________________________________________________________________________________

โรคนี้น่ากลัวจะระบาดในเมืองไทยด้วย แหงม ๆ เลย

บ้านเมืองถึงไม่สงบสุขซะที

ใครมีพวกมากก็จะเสียงดังไม่ฟังคนอื่น

เออร์วิง แจนิส (Irving Janis) นักจิตวิทยาผู้ศึกษาพฤติกรรม Groupthink ในหลายๆ กรณี ได้บรรยายถึงอาการแปดประการของโรคดังกล่าวได้ ถูกใจ ใช่เลย
winnwin
 







ย้อนกลับไปยัง เอสเปรสโซ่

ผู้ใช้งานขณะนี้

New Document