by kohboy ? Tue 25 Jan 2011 5:26 am
pharmakop wrote:
by kohboy ? Tue 25 Jan 2011 2:12 am
อ่อนไปครับ,
ยากด้วย เพราะบางอย่างที่เสนอมาต้องแก้กฎหมายด้วย!
เสนอแบบนี้..ข้าราชการที่เคยเหลี่ยงเลี้ยงไปวันๆ จะชอบมั่กๆ เพราะแทบจะไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเลย !!
เห ลี่ยงเลี้ยงไม่ได้ครับ แต่มีแนวทางที่ชัดเจนว่าต้องทำอะไร ฝ่ายที่ต้องแก้กฏหมายก็ต้องแก้ ฝ่ายควบคุมกำกับก็ต้องทำ ผลที่ผมต้องการก็คือ เมื่อมีร้านยาคุณภาพมากขึ้น ประชาชนก็จะถูกคุ้มครองด้สนยามากขึ้น และจเริ่มรับรู้ถึงข้อดีของการมีเภสัชกร และเมื่อไหร่ที่ถึงวันนั้น เมื่อความพร้อมเริ่มเกิด 2ปีก็ประกาศได้ว่าร้านยาทุกแห่งต้องมีเภสัชกรปฏิบัติการตลอดเวลา และเป็นร้านยาคุณภาพ
หนทางที่ยาวไกล ก้าวที่ยิ่งใหญาของวิชาชีพ เริ่มต้นที่ก้าวแรกเสมอครับ
อีกอน่างที่ผมเสนอแนวนี้ เพราะ ผมเขียนไว้แล้วว่า ละมุนละม่อมที่สุด
เอาตรงๆนะครับ,
ไม่โกรธกันนะครับ,
เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ...
..." โครงการอย่างนี้ เป็นโครงการแบบข้าราชการคิด เอาไว้แก้ผ้าเอาหน้ารอด ซื้อเวลาเพื่อหายใจทิ้งหายใจขว้างเพื่อกินเงินเดือนไปวันๆแค่นั้น !! "
ถูกต้องครับ เป็นการคิดแบบข้าราชการ ผมทำงาน รพช. แฟนลาออก ตอนนี้ได้ร้านยาคุณภาพแล้ว จึงเรียนว่า เภสัชกรตลอดเวลาทำการ กับการเป็นเภสัชกรตลอดเวลาทำการที่เป็นร้านยาคุณภาพ แตกต่างกัน ไปในทางที่ดีขึ้น ผมจึงอยากเพิ่มจำนวนครับ ขอเรียน พี่เกาะแบบนี้ครับ(ท่านคงเป็นพี่ผม)
ราชการก็มีปัญหา ด้านการปฏิบัตินะครับ เช่น สสจ. ในภาพรวม อัตรกำลังเภสัชกร 5-7คน และการดำเนินการด้านนี้ก็เป็นอีกหนึ่งในหลายๆงานที่ดูแลอยู่
ปัญหาอยู่ที่ความเพียงพอ เอาจริงเอาจัง นโยบาย ผลประโยชน์ทับซ้อน น้องอยากทำ หัวหน้าไม่เอาด้วย หัวหน้าอยากทำ สสจ.ไม่เอาด้วย หลากหลายปัจจัย แต่เราต้องทำหน้าที่อยู่ตรงนั้นอยู่
รพ. พนักงานเจ้าหน้าที่ระดับอำเภอ ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะอย่างมากผู้รับผิดชอบงานด้านนี้ มีแค่ 1คน การตรวจ จับ ปรับ อะไรก็ตามทำได้ค่อนข้างยาก ประกอบกับ การที่อยู่ในพื้นที่ ทำให้การตรวจ ส่วนใหญ่ใช้หลักนิติรัฐ มากกว่านิติศาสตร์ เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่แต่ไม่มีปืนครับ
พี่ผมคนนึงมาทำงานใหม่ๆ ไปตรวจโรงงานน้ำดื่ม ตอนจบมาใหม่ๆ เคร่งตามแบบที่เรียนมา ปรากฎว่า วันต่อมา มีคนขับรถตาม แล้วชักปืนมาขู่ พี่เห็นก็พยายามหนี แต่ทราบได้ทันทีว่าไม่ปลอดภัย
หรือกรณี การยิงกันที่อุดร เนื่องจากขัดผลประโยชน์ ถามว่ามันคุ้มมั๊ยที่จะทำ เราเอาชีวิตเรา สร้างประโยชน์ให้วิชาชีพด้านอื่นไม่ดีหรือ
เขาต้องอยุ่ในพื้นที่อีกนาน และบางที่กลับเป็นผู้บริจาครายใหญ่ให้ รพ. จะทำอะไร ผอ.ก็ปรามอีก(อันนี้ไม่ใช่ผมนะครับ)
มีมุมอีกมุม เรื่องวิชาชีพครับ ก่อนหน้า เภสัชกร น้อยไม่เพียงพอต่อความต้องการ จึงมี ขย1234 ขึ้นเพื่อโอกาสการกระจายยาที่ทั่วถึง แน่นอนเป็นผลเสียมากกว่าผลดี เพราะผู้ที่ไม่มีความรู้ดำเนินการ แต่ประเทศไทยในตอนนั้น เลือกไม่ได้
ปัจจุบัน เภสัชกรล้นตลาด ร้านยาที่อยู่เต็มใเวลา เริ่มมองเห็นปัญหาการใช้ยา และรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในการทำงาน จึงต้องเรียกร้อง
ความรู้สึกแบบนี้ ผมก็เคยเป็น ทำไมผมเปิดร้านยา คลินิกพยาบาลข้างๆกันก็ขายออปตัล หรืออื่นๆ ทำไม่ได้ แต่เขายังทำ จะแจ้งสสจ.ดีมั๊ย
สุดท้าย การทำหน้าที่ของเราให้ประชาชนยอมรับ กลับทำให้เขาเลิกขายไปโดยปริยายเพราะไม่มีคนซื้อเขาแล้ว เหลือเฉพาะรายการที่ให้ประกอบวิชาชีพเขาเท่านั้น จากวันั้นถึงวันนี้ ความรู้สึกขุ่นเคือง ไม่มีในใจผมเลย ผมได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเองว่า เราทำตัวให้มีคุณค่าเพียงพอที่เขาจะเรียกหาเราหรือยัง ภาพมันชัดเจนอยู่แล้วว่ามันมีมากขึ้นและดีขึ้นกว่าสมัยก่อนที่ผมจบมาอีก
ประสบการณ์ก็เลยสอนผมว่า อย่าทำให้เขาหมดทางเลือกในทันที ให้เขามีเวลาในการตั้งตัวปรับปรุงตนเอง วางแผนบ้าง เพื่อให้เข้ากับมาตรฐานที่จะถูกประกาศใช้ เพราะอย่างไร เราก็คนไทยด้วยกัน อาจออกจากวงการ หรือพัฒนาให้ได้มาตรฐาน แล้วแต่เขาจะเลือก
ข้อเสนอของผม จึงเห็นว่ามีหลายมิติ มุมมองที่จะต้องปรับแก้ ไม่ใช่แค่การบังคับใช้กฎหมายอย่างเดียวจะสำเร็จได้ เพราะเราไม่ได้มีอำนาจมากขนาดนั้น ผมยกตัวอย่างการยกเลิกการสอนวิชาแพทย์แผนโบราณที่ ศิริราช สมัย ร5 ยกเลิกไม่ทำเลย เราก็ขาดความต่อเนื่องไปมากในเรื่องนี้ก่อนที่จะเริ่มฟื้นกันใหม่ คำถามคือ แผนตะวันตกที่เข้ามาทำหใ้แผนไทยตกขอบ ก่อนหน้าที่จะเข้ามา เขาอยู่กันได้มั๊ย แบบไหน อยู่มาอย่างไร
เขาก็อยู่กันได้ แน่นอน ระบบร้านยาเราก็มีพัฒนาการมาเช่นเดียวกัน 8ร้านในอำเภอผม เหลือแค่ร้านเดียวที่ไม่ได้ส่งลูกไปเรียนเภสัชกลับมา
ผมคิดว่าตอนนี้ถึงเวลาแล้ว ที่จะดำเนินการด้านนี้ให้มีความชัดเจน จึงเสนอแนวทางการแก้ปัญหาเชิงระบบ อย่างที่เห็น
วัตถุประสงค์การตั้งกระทู้ จึงอยากจะได้ข้อเสนอแนะแบบที่ พี่ธวัชชัย เขาเพิ่มเติมมา เพราะในมุมผม อาจไม่ครอบคลุมครบถ้วน จึงอยากได้เพิ่มเติม หลังจากนั้นก็จะส่งไปให้สภาเภสัช ต้นเรื่องใหญ่ที่จะทำการแทนเราได้ อย่างที่คุณ white-blue ถาม ส่ง ถึง อ.ธิดา พี่กิตติ หรือคนอื่นๆที่พอจะรู้จักอยู่บ้างให้ช่วยพิจารณาแนวทางการดำเนินงาน ในฐานะที่วิชาชีพเภสัชกร เป็นสิ่งที่ผมเป็นผมในวันนี้ และเป็นวิชาชีพที่ผมจะไม่หยุดพัฒนา จนกว่าจะสิ้นลม ครับ ด้วยความเคารพทุกความคิดเห็น