New Document









ผมว่าเราทำงานหนักยิ่งกว่ากรรมกร "กระทู้แนวออกจะบ้า"

ห้องเภสัชกร

ผมว่าเราทำงานหนักยิ่งกว่ากรรมกร "กระทู้แนวออกจะบ้า"

โพสต์โดย blacksmithday » 17 ธ.ค. 2010, 07:43

คำเตือน การอ่านกระทู้นี้อาจจะเจอคำไม่สุภาพ ซึ่งผมคิดว่ามันคือคำที่สุภาพ ถ้ารับไม่ได้เชิญลบกระทู้เลยครับ และไม่แนะนำให้ผู้ที่คิดอยากเป็นยิ่งกว่ากรรมกรอ่าน เพราะจริตของท่านจะทำให้ท่านคลื่นเหียนอาเจียนได้
ตืนมากับกระทู้แนวบ้าระห่ำของผมอีกครั้ง 5555555555 เมื่อคืนผมอ่านบทความของ trader คนหนึ่ง ผมเลยนึกว่าตัวข้านี้หนอ ทำงานหนักกว่ากรรมกรอีก หนักกว่ายังไง
1 เราใช้กำลังทั้งวัน กำลังในการจัดยา จ่ายยา เดินไปเดินมา ตามหาหมอ consult case กลับมาบ้าน หมดแรง บางวันต้องเข้าเวรอีก
2 . เราใช้ความคิดมากกว่ากรรมกร ซึ่งยอมรับว่า กรูเครียดโว้ย
3. เวลา "แดก" ข้าว เรามีความสุขน้อยกว่ากรรมกร เพราะ เวลาของเราในการ "แดก" น้อยกว่าด้วยภาระงาน จับยัดใส่ปากเข้าไป ให้มันอิ่ม ให้มันมีแรง กรรมกร "แดก" แล้วยังมีนอนต่อ ยังมีจิบ alcohol ยามบ่าย ยังมีเวลาคุยกัน
4. ชีวิตคนเราควรจะเป้นเจ้านายเงินกัน ไม่ใช่ให้มันมาเป็นเจ้านายเรา ไม่ใช่ให้เราเป็นยิ่งกว่ากรรมกรที่หาเช้ากินค่ำ ไม่ใช่ให้เราได้เงินมากกว่ากรรมกรแต่หลายคนมีความสุขน้อยกว่ากรรมกร ไม่ใช่ครับ
ดังนัี้้น เรามาอ่านบทความเพื่อเจริญสติปัญญากันเถอะ

"คุณรู้จักป๋าหยง" หรือเปล่า "เดี๋ยวป๋าแพ้ทจะอธิบายให้ฟังนะ ...เฮอะ ๆ ๆ"

ที่มา : "เริ่มมา หลายๆคน คงสงสัยว่า ทำไมต้องเรียก "ป๋าหยง" (เอาหละ ผมจะเล่าให้ฟัง)"

กาล ครั้งหนึ่ง(นานมาแล้ว) นายภาววิทย์ ก็ไปเจอ Trader คนนึง(ที่มันทำตัวลึกลับ..ขนาดเอาภาพหมีแพนด้ามาใส่ Facebook มันจะลึกลับไปถึงไหน!!) ...
Trader ลึกลับ (พูดขึ้นว่า) "ไง..ป๋าแพ้ท" มันทำให้ผมสวนไปว่า "ไงล่ะ..ป๋าหยง ...ฮ่า ฮ่า ฮ่า"
...สรุปต่างคน ก็เลยกลายเป็น "ป๋า" แต่นั้นมา (งง) ไปหมด...ไร้สาระจริงๆ ฮ่า ฮ่า

เข้า เรื่องเลยดีกว่า "ผมไปเจอหนังสือการ์ตูน เล่มนึงที่เขียนโดย คนสิงค์โปร์คนนึง มันเป็นคล้ายๆกับ Life Journey ที่ถ่ายทอดลายเส้น มาเป็นการ์ตูนสะท้อนชีวิต ของคนธรรมดาๆ อายุราว Gen Y (อายุ 30 ลงมา) ซึ่งขายดีมาก"

ประเด็นที่น่าสนใจมันอยู่ที่ "หนุ่มคนหนึ่งต้องการเดินตามความฝันของตัวเอง" (ไม่ต้องการอยู่ภายใต้ กรอบแคบๆของชาวสิงค์โปร์ที่ถูก ขีดเอาไว้ โดยท่านผู้นำ "ลี กวน ยู") ..จริงๆ หลายๆคนอาจมองว่า แล้วชีวิตที่เขากำหนดเส้นทางให้เดินแล้วมันไม่ดีตรงไหน!! (จะว่าไปมันก็ดีนะ มันก็ย้อนกลับไปสมัยเรียนประถมใหม่ๆ ที่ทุกคนต้องแต่งตัว เหมือนกัน ทรงผมเดียวกัน เรียนเหมือนกัน ...มันก็มีบางคนที่ทำได้ ภายใต้ความเหมือนนะ)

บาง คนเรียนได้ดี ได้เก่งในโรงเรียน แต่พอออกมาข้างนอก กลายเป็น "หนังคนละเรื่อง" (จากชีวิตสุดเท่ห์ในกรอบของโรงเรียน กลายมาเป็นหนังอินเดีย วิ่งไปร้องเพลงไป แถมร้องไห้ไป "แม่งตกงาน แฟนทิ้ง" ไทรโศกสุดๆ"

ประเด็นคือ ถ้าเราไม่ต้องการอยู่ในกรอบที่ "ป๋า ลี กวน ยู เขียนเอาไว้ คุณจะทำอย่างไร" (ลี กวน ยู) เป็นตัวอย่างเฉยๆ เพราะทุกประเทศในโลก มีกรอบของความกดดัน ที่สังคมขีดเอาไว้เสมอ "เรียนดี มหาลัยดัง งานในองค์กรใหญ่ๆ บ้านแบบ Modern ๆ และก็รถเท่ห์ๆ นาฬิกาหรูๆ กระเป๋าแพงๆ แถม Dinner และก็พักผ่อนแบบธรรมชาติสุดๆคืนละแสนกว่าๆ ที่ "ศรีพันวา"

สรุปว่า "มึงทำทุกอย่าง อย่างหนัก เพื่อที่จะสามารถผ่อนคลาย ในชีวิตที่เรียบง่ายอย่าง "ศรีพันวา" ที่ต้องจ่าย หนึ่งแสน (คำถามคือ เพื่ออะไรวะ!!)"

มันเป็นเรื่องของ "Investment Banker" กับ "คนหาปลา" ซึ่งเริ่มจากการ ชักชวนให้คนหาปลาไปใช้ชีวิต ต่อสู้ ผ่าฝัน เพื่อที่จะได้สร้างกิจการให้ใหญ่โต เป็นบริษัทหาปลาที่ยิ่งใหญ่ (ประมาณว่าเข้าตลาดหลักทรัพย์ใหญ่มากๆ) นายธนาคารก็วาดฝันให้ "คนหาปลา" เห็นว่า การทำงานหนักจะทำให้เขาได้อะไรบ้าง จนมาถึง จุดสุดยอด The Ultimate Goal "ก็คือ Financial Freedom การที่เราไม่ต้องทำงานอีก วันๆก็สามารถทำอะไรก็ได้ที่เราอยากทำ อาทิเช่น นั่งตกปลา" ---สรุปไอ้นายธนาคารมัน พา Idea ของคนหาปลา วิ่งไปรอบภูเขา แล้วกลับมาที่จุดเดิม (มึงบ้าไปแล้ว!!)

"สรุปว่า Ultimate Goal คือสิ่งที่ผมชอบ (นั่นก็คือ การตกปลา) ..แล้วตูจะเหนื่อยไปทำซากอะไร ในเมื่อวันๆตู ก็ทำในสิ่งที่ชอบอยู่แล้ว" ในที่สุด คนหาปลา ก็เตะตูดไอ้นายธนาคารแล้วบอกว่า "มึงไปไกลๆกูเลย!!"

ประเด็นมันเลย ย้อนกลับมาที่ "ป๋าหยง" ...จากย่างก้าวที่ผมเดินมาเจอ Trader ลึกลับ คนนี้ก็ได้สัมผัสความไม่ธรรมดา ..ในขณะที่นายธนาคารอย่างผมกินเงินเดือนธนาคาร แต่ "ป๋าหยง" กินเงินตัวเอง (เอ๊ะ!! แล้วกินเงินธนาคาร กับ กินเงินตัวเอง ยังไง ๆ ไม่รู้ล่ะ ให้ "มีกิน"ก่อนอย่างแรก.. อิ อิ)

(ป๋าหยง ถึงกับพูดว่า "ชีวิตของคนสมัยนี้ มันเป็นอะไรที่ซับซ้อน นั่นเพราะเราทำให้มันซับซ้อนหรือเปล่า ...วันนี้เราวิ่งหา เงินมากๆ เพื่อที่จะใช้ ได้มากๆ ในขณะที่การเป็นคนไทย คุณสามารถอยู่โดยไม่ต้องใช้เงินสักบาทก็ได้" .....ถูกแล้ว ป๋าหยง ไปบวช ในวัดป่า มันทำให้รู้ว่า การใช้ชีวิตแบบไม่มีอะไร มันก็อยู่ได้ แต่ความต้องการของเราต่างหาก ที่เป็นตัวผลักดันให้เราเดินในทางที่ยากเกินไป(รึเปล่า) "ท้ายสุดความยาก หรือง่าย มันไม่ใช่สังคมเป็นตัวกำหนด (คุณเองต่างหากที่เป็นตัวกำหนด)) ..."พูดจบประโยค ป๋าหยง ก็เดินไปแปรงฝัน"


Trading Platform ของ "ป๋าหยง" ไม่ใช่อื่นไกล "มันก็คือห้องนอนของป๋าหยงนี่เอง" (หลายคนเสียเวลากว่า 2-3 ชั่วโมง เดินทางไปทำงาน ในขณะที่บางคน ใส่ชุดนอนก็ทำเงินได้) ฮึม!! น่าสนใจ... "และแล้ว ป๋าหยง ก็เดินไปแปรงฝันอีกรอบ" (ที่ บอกว่าแปรงฝันได้หลายรอบ ไม่ใช่เพราะปากเหม็น แต่ผมจะโชว์ให้เห็นว่า "มันสบายเพียงใด" หากคุณเดินออกจากกรอบที่สังคมขีดไว้แล้วสามารถอยู่ได้ !!)

การ Trade หุ้นและ Commodity ในมุมของป๋าหยง มีหลายระดับ

1. Survive คือ เอาตัวรอดอยู่ได้ "นั่นคือ คุณต้องมีระเบียบ มีแบบแผนการ Trade ที่ชัดเจน ..มีกลยุทธ์ และวิธีการเข้าออก.. รวมทั้งการ Cut lost ที่ชัดเจน (ไม่ใช่อย่างที่ แมลงเม่า ในตลาดบ้านเราเล่นกัน เวลาขึ้นขาย เวลาลง Hold ต่อไป "จนตาย" ) คือ ถ้าคุณ Trade หุ้นเป็นเรื่อง ขำขำ คงจะไม่แปลกที่คุณสามารถ Hold till you dead ได้ ..แต่สำหรับคนที่ Trade หุ้นเป็นอาชีพ คุณไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ (เพราะนี่คืออาชีพของคุณ)
...ใน มุมมองของ Full-Time Trader ที่สามารถ Survive ในตลาดได้ จะเข้าใจเหมือนกันว่า "เงินหรือ Port " มันไม่ใช่เงินของเรา แต่มันคือ อาชีพ (Career ) ดังนั้น เงินที่อยู่ใน Port ในมุมมองของป๋าหยงนั่น มันเป็นเพียงตัวเลข ซึ่งหน้าที่ของ Trader ก็คือ การ Grow Port แล้วสามารถที่จะดึงเงินบางส่วน มาใช้ในชีวิตประจำวันได้ ....."ดังนั้น เงินจริงๆของคุณ มันคือเงินที่ สามารถเปลี่ยนเป็นความสุขในชีวิต --- มันไม่ใช่ตัวเลขในบัญชี" --งั้นสรุปได้เลยว่า ประเด็นที่สำคัญที่สุดในขั้นแรกของการเป็น Trader มืออาชีพ ก็คือ "คุณต้อง Cut Loss เป็น และคุณต้องทำมันอยู่เป็นประจำ เพราะไม่มีใครเล่นหุ้นได้กำไรตลอด..ถ้าไม่เข้าใจจุดนี้ อย่าริิอาจเล่นหุ้น ให้ไปซื้อเต้าฮวยมากิน อร่อยกว่า.. อิ อิ"

2. Growth ก็คือ ช่วงที่คุณสามารถ Survive ในตลาดได้แล้ว จากนั้นคุณก็จะ Develop Style การลงทุนเฉพาะตัวขึ้นมา (จุดนี้ให้นึกถึง นักกีฬาอาชีพ คือ ในที่สุดความเก่ง มันเกิดจากองค์ประกอบหลายๆอย่างเข้าด้วยกัน ...แต่สิ่งสำคัญที่สุด ของ Professional ก็คือ "การฝึกฝนอย่างหนัก") การที่ Tiger Woods สามารถก้าวขึ้นมาเป็นนักกอล์ฟอันดับหนึ่งของโลก มันไม่ได้เกิดจากการนั่งดูวิดีโอกอล์ฟ หรือ อ่านหนังสือวิธีเล่นกอล์ฟ พออ่านไปหลายๆเล่มหน่อยก็นึกว่า ตัวเองสามารถตีเก่งมาก ..แต่พอไปตีกอล์ฟจริง "ห่วยแตก" ...นี่แหละนักลงทุนในตลาดทั่วไป ที่คิดว่าตัวเองเก่ง "ในที่สุดตลาดมันจะค่อยๆสอนคุณเอง" ...ในช่วง Growth เป็นช่วงที่คุณเติบโตในอัตราเร่ง ซึ่ง wealth โดยเฉลี่ยของ Trader ที่ประสบความสำเร็จ จะมี Port ไม่ต่ำกว่า "ร้อยล้านบาท" (ถ้าผมจะพูดให้ชัดๆก็คือ Trader เก่งๆทุกคนในขั้น Survive เริ่มจากเงินหลักแสนเท่านั้นเอง จนกลายมาเป็น หลักร้อยล้านในช่วง Growth " Ohh !! My God ++ คุณว่าผมพูดเล่นรึเปล่า!!")

3. Wealth ก็คือ "ช่วงแห่งความมั่งคั่ง" (หรือเรียกง่ายๆว่า ช่วงหาปลา เหมือนที่คนตกปลา ได้เตะตูด นายธนาคารอย่างที่ผมเล่านั่นแหละ) ถึงจุดนี้ คนที่ Grow Port เข้าสู่ระดับนี้ได้ จะเลิกยึดติดกับเงิน เพราะมันก้าวผ่าน จุดของ Rat Race มานานแล้ว ...จุดของ Wealth มันแทบไม่เกี่ยวข้องกับการ Trade อีกเลย แต่มันเป็นการวางเงินในลักษณะของเชิงโครงสร้าง "จุดนี้คือ การเลือกกระจายความเสี่ยงของ Wealth ออกไปอยู่ใน Asset ต่างๆ ซึ่งประกอบไปด้วย Real-estate , Stock , Gold และ ตราสาร รวมทั้ง Financial instrument ต่างๆ (ขั้นนี้ ศาสตร์ในการวางเงิน เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด)

การ ที่เราได้อ่านหนังสือของ Warren Buffet หรือ George Soros แล้วพยายามทำตาม จริงๆแล้ว มันเป็นคนละประเด็น ..หลักการของนักลงทุนใหญ่ๆจะต่างกับเรามาก เพราะเขามองในเชิงโครงสร้าง "มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ Buffet จะสามารถเล่นหุ้นอย่างที่เราเล่น" ยกตัวอย่างตลาดบ้านเรา ถ้า Buffet ต้องการเล่นหุ้นจริง ผมว่า มีหุ้นอยู่ไม่ถึง 10 ตัว ที่ Buffet สามารถซื้อ แล้วไม่ทำให้ราคาหุ้นพุ่งติดเพดาน (หรือพอขายแล้วไม่ทำให้หุ้นติด Floor) ...ที่ว่า 10 ตัว จริงๆแล้ว อาจจะไม่มีด้วยซ้ำ เพราะ Port ของ Buffet ใหญ่กว่าตลาดหุ้นไทยทั้งตลาดเสียอีก "คุณเห็นหรือยังว่าตลาดเราเล็กเพียงใด ในมุมมองของ Financial !!"

แต่ใครเคยคิดไหมครับว่า "ในเชิง Financial ซึ่งตลาดเราเล็กมากๆ แต่ในเชิงทรัพยากร และจำนวนคน (เกือบ 70 ล้านคน ส่งออกข้าว และยางพารา อันดับหนึ่งของโลก) ...คุณคิดให้ดีว่า มูลค่าที่ฝรั่งมันให้กับประเทศเรา กับ มูลค่าที่แท้จริง มันต่างกันสุดขั้ว"

(เมื่อ ป๋าหยง และ ภาววิทย์ สนทนาธรรมกันเสร็จ เราก็ออกไปหา ก๋วยเตี๋ยวกิน) ฮ่า ฮ่า ฮ่า

http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=16628
blacksmithday
 
โพสต์: 192
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ย. 2007, 19:21







Re: ผมว่าเราทำงานหนักยิ่งกว่ากรรมกร "กระทู้แนวออกจะบ้า"

โพสต์โดย apotheker » 17 ธ.ค. 2010, 08:27

กิน ขี้ ปี้ นอน 4กิจกรรมพื้นฐาน ที่มนุษย์ควรกระทำได้โดยไม่ถูกขัดจังหวะ
ถ้าแค่นี้ทำไม่ได้ ก็ สมควรเปลี่ยนงานแล้วหละ ผมว่านะ :mrgreen:
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
apotheker
Global Moderator
 
โพสต์: 2435
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.พ. 2004, 11:48
ที่อยู่: simcity

Re: ผมว่าเราทำงานหนักยิ่งกว่ากรรมกร "กระทู้แนวออกจะบ้า"

โพสต์โดย kingman » 17 ธ.ค. 2010, 10:58

ดีครับ ได้มุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับการดำเนินชีวิต ครับ
kingman
 
โพสต์: 20
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ส.ค. 2008, 11:51

Re: ผมว่าเราทำงานหนักยิ่งกว่ากรรมกร "กระทู้แนวออกจะบ้า"

โพสต์โดย kohboy » 17 ธ.ค. 2010, 11:01

ถ้าจะคุยเรื่องการเล่นหุ้น...เกาะบอยขอบาย! ( บายเป็นการส่วนตัว, เพราะเหตุผลส่วนตัว ที่เชื่อในคำที่ว่า "คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น" ...คือมองว่าใกล้เคียงกับการพนันขันต่อทั้งคู่ แต่วิธีการต่างกัน , และยืนอยู่บนพื้นฐานเดียวกันคือ "อยากได้เงินเพิ่มโดยลงแรงกายน้อยๆ)



แต่ถ้าจะพูดเรื่องการทำงานหนักกว่ากรรมกร..อันนี้น่าคุยครับ;
เพราะเป็นความคิดที่ใกล้เคียงกับที่ผมคิด และเคยนำเสนอมาแล้ว นั่นคือ.." คนกินเงินเดือนทุกคน คือ กรรมกร!"
กรรมกรคือกรรมกร ทำงานโดยมีเวลาเป็นตัวแปรต้นเพื่อกำหนดเป็นเงินที่กรรมกรจะได้รับ,
และรายรับของกรรมกรก็ขึ้นอยู่กับว่ากรรมกรคนนั้นจะเป็นแรงงานที่มีฝีมืออยู่ระดับใด


:cool:
ภาพประจำตัวสมาชิก
kohboy
 
โพสต์: 1437
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2006, 14:51

Re: ผมว่าเราทำงานหนักยิ่งกว่ากรรมกร "กระทู้แนวออกจะบ้า"

โพสต์โดย Barrios » 17 ธ.ค. 2010, 13:16

ผมไม่ได้สนใจว่าจะทำงานหนักกว่าใคร ใครจะทำงานหนักกว่าเรา
แต่สนใจว่า พอใจที่จะทำหรือไม่ ทำแล้วได้อะไร คุ้มกับสิ่งที่ตีราคาเป็นเงินไม่ได้ด้วยมั้ย

ส่วนเรื่อง Buffet นั้น เป็นการขายความสุขแบบ "American Dream" ที่ใส่ใจในเรื่องทุนเป็นหลัก แล้วผมก็ไม่เคยเชื่อว่าคนเราจะอยู่เฉย ๆ หมายถึงเฉย ๆ จริง ๆ ไม่ต้องทำงานหนักแล้วเงินจะทำงานให้เราได้ผลตอบแทนเยอะ ๆ ง่าย ๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Barrios
 
โพสต์: 714
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2009, 08:41
ที่อยู่: ประเวศ กทม.

Re: ผมว่าเราทำงานหนักยิ่งกว่ากรรมกร "กระทู้แนวออกจะบ้า"

โพสต์โดย API » 17 ธ.ค. 2010, 20:19

ความสุข ความทุกข์ มันกำหนดที่ใจเราทั้งนั้น เราตามฝันซึ่งจริงๆแล้วมันจะเป็นความสุขแท้จริงหรือไม่?
ใช่ว่าประเทศนี้จะหาคนมีความสุขโดยไม่ต้องใช้เงินไม่ได้.... สุข ทุกข์ อยู่ในใจครับ ใช่แรงกายภายนอก

"ยายยิ้ม ยิ้มเย้ยยาก"

ท่ามกลางป่าเขา ที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ซึ่งถูกปกคลุมด้วยผืนป่าอันหนาทึบ ห่างไกลผู้คนและเงียบสงัด แต่ที่นั่นเป็นเหมือนบ้านที่อบอุ่นท่ามกลางอ้อมกอดของขุนเขาและธรรมชาติ จะมีคนแก่สักกี่คนที่เลือกจะใช้ชีวิตบั้นปลายในวัย 80 กว่า อยู่เพียงลำพังอย่างเดียวดาย แทนการห้อมล้อม การเอาใจใส่จากลูกหลาน แต่ยายยิ้ม เลือกที่จะใช้ชีวิตในป่ากว้างที่หลายคนอาจมองว่า ชีวิตความเป็นอยู่แสนยากลำบาก อ้างว้าง เงียบเหงา แต่นั่นคือสิ่งที่คนภายนอกมองและตัดสินใจ ความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม ทุกโมงยามที่ผ่านไปของยายล้วนมีคุณค่า ไม่ได้ผ่านพ้นไปอย่างไร้ค่า การมีชีวิตอยู่ของยายหมดไปกับการปลูกต้นไม้ ทำฝายเล็ก ๆ ที่ยายได้อาศัยในยามหน้าแล้ง และยังเป็นสายธารหล่อเลี้ยงบรรดาสัตว์และต้นไม้บนผืนแผ่นดินนี้ กิจวัตรประจำวันและการหาอยู่หากินของยาย เป็นไปอย่างเรียบง่าย ไม่เบียดเบียนเพื่อนร่วมโลก สิ่งที่ยายใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตมากว่า 80 ปี คือ ธรรมะ ทุก ๆ วันพระ ยายจะเดินลงมาจากเขา ด้วยระยะทางเกือบ 8 กิโล บวกกับวัยชราของยาย จึงทำให้ยายใช้เวลาในการเดินทางกว่า 3 ชั่วโมง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ศรัทธาของยายเสื่อมถอยลง การเลือกทางเดินชีวิตของยายใช่ว่ายายจะไม่มีทางเลือก ยายยังมีลูกหลาน ซึ่งต่างคนก็มีฐานะที่พอจะดูแลยายได้อย่างสบาย หลายคนทักท้วงกับการตัดสินใจของยาย หลายครั้งที่ต่างขอร้องให้ยายกลับลงมาอยู่ที่บ้าน แต่ยายยังคงยืนกรานที่จะใช้ชีวิตอยู่บนเขาอย่างที่ผ่านมา อะไรทำให้ยายเลือกใช้ชีวิตเพียงลำพังในวัยที่ต้องการความรัก การเอาใจใส่จากลูกหลานและคนรอบข้าง และยายใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวอย่างไรให้มีความสุข ติดตามเรื่องราวของยายยิ้ม ยายที่ยิ้มได้แม้ในยามยาก ได้ในรายการ คนค้นคน 22. 15 น. วันอังคารที่ 30 พ.ย. และ 7 ธ.ค. 53 นี้ ทางโมเดิร์นไนน์ ทีวี

เราขาดในสิ่งที่ยายยิ้มมี นั่นคือ ความพอเพียง ความศรัทธา ความไม่โลภ
เรามีในสิ่งที่ยายขาด นั่นคือ ความทุกข์







ภาพประจำตัวสมาชิก
API
 
โพสต์: 371
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ธ.ค. 2006, 21:02
ที่อยู่: สวรรค์

Re: ผมว่าเราทำงานหนักยิ่งกว่ากรรมกร "กระทู้แนวออกจะบ้า"

โพสต์โดย naproxen » 18 ธ.ค. 2010, 11:37

คุณยายยิ้มท่านมีความรู้ว่า "จะใช้ชีวิตให้มีความสุขได้อย่างไร"
ภาพประจำตัวสมาชิก
naproxen
 
โพสต์: 223
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ค. 2006, 16:38

Re: ผมว่าเราทำงานหนักยิ่งกว่ากรรมกร "กระทู้แนวออกจะบ้า"

โพสต์โดย naproxen » 18 ธ.ค. 2010, 12:16

ศิลปะทุกอย่าง รู้ก็ง่าย ไม่รู้ก็ยาก
(การรักษาโรค หรือตลาดหุ้นก็เช่นกัน)

ฐานนิยม ก็คือ ฐานนิยม ไม่แน่ว่าจะเป็นความจริง

ถ้าถูก ก็ทำ
ถ้าผิด ก็อย่าทำ
ถ้าฐานนิยมถูก ก็ทำตามฐานนิยม
ถ้าฐานนิยมผิด ก็อย่าไปทำตาม

ปัญหาคือ ต้องรู้จริงว่านี่ถูก นี่ผิด
ภาพประจำตัวสมาชิก
naproxen
 
โพสต์: 223
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ค. 2006, 16:38

Re: ผมว่าเราทำงานหนักยิ่งกว่ากรรมกร "กระทู้แนวออกจะบ้า"

โพสต์โดย ธวัชชัย วรรณสว่าง » 18 ธ.ค. 2010, 16:28

ผมมีความรู้สึกว่าการใช้ชีวิตแบบสบายๆ เหมือนชีวิตเราไม่ติดดิน เหมือนมีมีคนมาแบกเราไว้ ไม่มีความคล่องตัว และไม่รู้ว่าเมื่อไรเขาจะเลิกแบกเรา ถ้าเขาโยนเราทิ้งเมื่อไร เราก็คงเจ็บน่าดู การใช้ชีวิตแบบลำบากๆจนเกิดความเคยชิน เหมือนชีวิตเราติดดินเหมือนกับคนส่วนใหญ่ มีความคล่องตัว มีการต่อสู้ ศึกษาและเรียนรู้ชีวิตอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ระมัดระวังไม่ให้ลำบากมากเกินจนเสียสุขภาพ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัยด้วย สรุป ชอบใช้ชีวิตแบบลำบากๆ มากกว่า แบบสบายๆ
ธวัชชัย วรรณสว่าง
 
โพสต์: 559
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 19:35


ย้อนกลับไปยัง เอสเปรสโซ่

ผู้ใช้งานขณะนี้

New Document