เรื่องเภสัชกรกับความอึดอัดใจของผมครับ
ในกรณีนี้ ผมพยายามประมวลออกมาให้เป็นสิ่งที่เป็นปัญหาเชิงระบบมากกว่าการจะไปมองให้เป็ฯปัญหาส่วนบุคคลนะครับ
เพราะเท่าที่มีปัญหากันระหว่างวิชาชีพในปัจจุบันนี้ มันเป็นปัญหาส่วนบุคคลซะเยอะอยู่แล้ว
ปัญหาที่ผมเจอมาที่อยากขอเล่าแบบเรื่อยๆไม่เรียงนะครับ
1. เภสัชกรไม่มีความพร้อมเพรียงทางวิชาการ / SuperEgo ส่วนบุคคลสูง
นำมาจากปัญหาครั้งหนึ่ง เรื่องนี้เกิดสมัยที่ใช้ทุนปีแรกผมเคยสั่งยาเพื่อทำการรักษาเริม... ปกติถ้าเป็นไม่มากหรือใกล้หายแล้วผมก็ไม่ได้ให้ ... จะให้ในกรณีที่มีโรคร่วมหรือเป็นมากๆผมก็ให้ยา
ตอนนั้นผมเปิดจากหนังสือเพราะไม่ค่อยเจอเคส ในหนังสือบอกให้ใช้Acyclovir ทาหรือกินก็ได้ ผมสั่งแบบกินไปเพราะคนไข้ไม่ประสงค์จะใช้ยาทา
ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ เภสัชกรยับยั้งการสั่งยานั้น และโทรมาบอกให้ผมเปลี่ยนยา โดยบอกว่า "ตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ งานวิจัย" บ่งชี้ว่าเริมที่ปากไม่ต้องรักษาด้วยยาใดๆ หายเองได้ ถ้าอยากจะให้ก็ให้เป็ฯยาทาซึ่งทางรพ.มีครีมพญายอที่ได้ผลเทียบเท่าAcyclovir
เภสัชกรให้ผมตัดสินใจว่าจะเอาแบบไหนก็ได้ (แต่เภสัชบอกคนไข้ไปแล้วว่าใช้ยากินเสี่ยงอันตรายโดยไม่มีความจำเป็น)
ผมก็เปลี่ยนเป็นยาทา
หลังจากนั้นไม่นานนัก พอเจอเริมที่ปากอีกเคส ผมก็เลยสั่งยาทา ... คราวนี้เจอเภสัชอีกคน ถามกลับมาที่ผมว่าทำไมไม่ใช้ยากิน เพราะยาทามีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่าดีไม่เท่ายากิน
กรณีนี้เป็นตัวอย่างนึงในหลายๆเรื่อง
เราๆท่านๆรู้กันดีอยู่ว่าการรักษา บางครั้งมันไม่ได้มีหลักการที่ตายตัวชัดเจนมากนักในบางโรค
บางการรักษาเป็นงานวิจัยใหม่ๆ ซึ่งยังเป็ฯแบบControversy
แต่ในการสั่งยาไปแล้ว บางครั้งเภสัชกรบางราย ได้อ่านหนังสืองานวิจัย แล้วหยิบนำมาใช้แบบตัวใครตัวมัน(เภสัชกรด้วยกันก็ยังเห็นไม่ตรงกัน) จากนั้นนำมายืนยันกับแพทย์ชนิดที่ว่าหัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมสั่งให้
ที่แย่คือ บางครั้งแพทย์สั่งยาในเรื่องที่ยังเป็นcontroversyโดยที่การได้ยาก็ไม่ได้มีอะไรที่เสี่ยง
แต่เภสัชกรไปบอกคนไข้ว่า "หมอทำผิด แต่ก็ต้องจ่ายยาตามคำสั่งหมอ"
ปัญหาเรื่องที่เป็นcontroversyในทางวิชาการ ในวงการแพทย์ ผมไม่ค่อยเห็นความขัดแย้งกันมาก
เพราะเรื่องที่เป็นcontroversyจะเสียอย่างไรก็ไม่ได้อันตรายต่อคนไข้อย่างมีนัยทางสถิติ
ใครทำไม่ตรงกัน ก็ไม่มีการไปBlameกัน
แต่ผมเจอการBlameกันทางห้องยาแบบนี้
ทั้งจากของจริง
และทั้งจากที่เภสัชกรหลายคนชอบมาเขียนในinternet
ผมเลยเซ็งครับ
2.1 เภสัชกรไม่มีความเข้มแข็งและจุดยืนที่มั่นคงในการใช้ยา / SuperEgoสูงกับหมอบางคน
ปัญหาเรื่องการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่เหมาะสม เป็นเรื่องที่เภสัชกร Blame แพทย์สูงมาก
แต่ปัญหาคือ เภสัชกรปล่อยให้เกิดการสั่งยาแบบไม่เหมาะสมได้อย่างไร
และปัญหาคือ ในเมื่อปล่อยไปโดยไม่มีการเตือน จะเอามาบ่นทำไม
ผมเป็นหมอที่สั่งAntibioticแบบrationalที่สุดเท่าที่จะทำได้ และก็ทำตนเป็นตัวอย่าง ... ไม่ว่าจะการสั่งยาให้ชาวบ้าน สั่งยาให้พยาบาล จนท.รพ. หรือแม้แต่การใช้ยากับตนเอง
ในโรงพยาบาลก็มีการประชุมเรื่องการใช้ยาเป็นครั้งคราว
ทุกครั้งเภสัชกรพูดหนักแน่นมากถึงปัญหาเหล่านี้ (ในที่ประชุม)
แต่เวลามีการสั่งยาamoxy - augmentin ในการรักษาไข้หวัดไอเจ็บคอ
เวลามีการสั่งnorflox รักษาdiarrhea ที่ไม่มีอะไรบ่งชี้ว่าจะมีประโยน์
ไม่ว่าจะหมอสั่ง หรือพยาบาลสั่ง(ของผมนอกเวลาราชการหรือเวรดึก ให้พยาบาลตรวจรักษาcaseทั่วไป)
เภสัชกรปล่อยยาตลอด
แรกๆก็มีการทักท้วงบ้าง ไม่เกิน3วัน ก็ไม่เห็นมีอะไร .... ที่จะมีก็คือ เอาแต่บ่นๆๆๆๆว่าใช้ยาไม่เหมาะสม
แต่ตนเองไม่คัดค้านการสั่งจ่ายยา
ปัญหาเรื่องการใช้ยานี้ ผมว่าเภสัชกรต้องรับผิดชอบเต็มๆ
เพราะ ผมในฐานะคนที่พยายามใช้แบบrationalพบว่า เมื่อเราใช้แบบrational แต่คนอื่นใช้ตามใจ คนไข้มองเราไม่ดี
แรกๆที่มา intern3คน ใช้ยาแบบrational
แต่พอพยาบาลสั่งจ่ายยาได้ ... (คนไข้มาเช้าเจอหมอ หมอไม่ให้ยา ... มานอกเวลา พยาบาลสั่งยา เภสัชก็ไม่ยอมทักท้วง) พยาบาลให้antibioticไป คนไข้ก็มองหมอไม่ดี
คนไข้บ่นหมอ
มีการสั่งlincoฉีด1dose คนไข้ชอบ ... เภสัชไม่เคยแย้งสักแอะ ....
ในที่สุด หลังๆหมอก็ต้องเลยตามเลยไปหลายกรณี
ของผมเอง เดี๋ยวนี้เลิกพูดเรื่องการใช้Antibioticแล้ว เพราะพูดไปบ่นไป เภสัชกรไม่เคยพูดสนับสนุนอย่างจริงจัง
2.2 SuperEgoสูงกับหมอบางคน ทำให้เกิด Double standardในโรงพยาบาล
เสริมด้วย การที่เภสัชกรเลือกที่จะค้านหมอบางคน และเลือกที่จะไม่คัดค้านหมอบางคน ทำให้เกิดความแตกต่างในการรักษาของแพทย์
อย่างผมเอง จะโดนมองว่าเป็นหมอที่หวงยา ไม่ค่อยให้ยาฉีด ไม่ค่อยจ่ายยาแก้อักเสบ (จุดแข็งคือ เป็นหมอกลุ่มที่ไม่ด่าคนไข้ ยิ้มลูกเดียว)
ถ้าหากเพียงแค่เภสัชกรทำหน้าที่ให้ครบทุกหมอ คัดค้านยาที่ไม่เหมาะสมให้ครบทุกหมอ (ผมไม่ด่าใคร ดังนั้นเภสัชกรจะค้านการรักษาผมมากกว่าคนอื่นอย่างมีนัยสำคัญ) ปัญหาการรักษาไม่ตรงกันก็จะน้อยกว่านี้
ที่บ้าบอคือ หลายครั้งเจอการรักษาที่ดูแปลกๆ ไม่บอกเจ้าของไข้ ... ดันมารายงานผมให้ผมแก้ไข ... พอผมไม่แก้โดยบอกให้ไปบอกเจ้าของไข้ ก็ดันไม่บอก ... แถมบอกว่ารายงานผม บ้าจริงๆ
3 หน้าที่วิชาการทางยา เป็นของเภสัช
ผมเคยมีปัญหาเรื่องพยาบาลไม่เข้าใจเรื่องยาบางตัว
อย่างdoseยาเด็ก หรือการใช้ยาบางชนิด ... พยาบาลเขาไม่แน่ใจ ก็ให้ทำเป็นแผ่นออกมา
ผมก็ทำออกมา
แน่นอนว่าบางอย่างอาจจะไม่ตรงกันนัก ... ปรากฎว่าเกิดความไม่พอใจเกิดขึ้นว่ามีการทำงานที่ก้าวก่ายหน้าที่ ก้าวก่ายสายงาน
.... แต่เภสัชกรไม่ทำ ....
ผมก็งงสิครับ พอมีการร้องขอห้องยาให้ทำ ไม่ทำ ... พอมีคนอื่นทำก็โกรธ ... แล้วก็ไม่ทำ
4. การสอนการใช้ยา เป็นหน้าที่ของใคร
ผมเคยสอนผู้ที่ใช้ยาหอบหืด ให้หัดใช้MDI ... โดนโทรมาบอกว่า "หมอกำลังก้าวก่ายงานเภสัช"
ผู้ป่วยเคยมาถามเรื่องการใช้ยา Spiriva คิดว่านะครับ อันที่COPDใช้ เป็นแคปซูลที่ต้องใส่ไปก่อนแล้วค่อยสูด(ทั้งแคปซูล) ... คนไข้ขอให้ผมสอน เพราะได้ยามาแต่ไม่มีใครสอน ... หมอที่จ่ายยาบอกให้เภสัชเป็นคนสอน ... ส่วนเภสัช บอกว่าให้กลับไปให้หมอที่สั่งยาสอน ... คนไข้ไม่รู้จะไปไหนก็เลยมาถามผมที่ER
ผมถามหาLeaflet ก็ไม่เจอ บอกคนไข้ว่าใช้ไม่เป็นคนไข้ก็ขอให้สอนมาเถอะ (ปัญหาคือ เขาไม่รู้ว่าเปิดฝายังไงและต้องดูดหรือเป่าหรือทำอะไร) ... ผมก็หาจนเจอว่าใส่ยาที่ไหน ดูดตรงไหน ... แต่ดันถอดยาออกจากแคปซูลเทผงยาลงไป
เท่านั้นล่ะครับ โดนต่อว่าต่อขานว่าใช้ไม่เป็นยังจะไปหัด และบอกว่าเป็นหน้าที่ห้องยา ไม่ใช่หน้าที่หมอ
แต่ประทานโทษเถอะครับ แล้วทำไมคนไข้รายนี้ถึงหลุดมาให้ผมสอน ... เพราะหลุดมาไม่ใช่หรือ
จนบัดนี้ ผมไม่ค่อยอยากสอนวิธีการใช้ยา เดี๋ยวโดนหาว่าก้าวก่าย ... ยกเว้นกรณีคนไข้ถามห้องยาแล้วห้องยาไม่ตอบ ผมจึงจะสอน
(เคยเจอไหมครับ คนไข้เอา Proctocedylหรือ Clotrimazoleเหน็บช่องคลอดไปกิน)
5. เภสัชกร มั่นคงในวิชาการแต่ไม่ดูสถานการณ์จริง
ทุกคนคงยอมรับนะครับ ว่า เมืองไทยไม่ได้พรั่งพร้อมไปด้วยเวชภัณฑ์
ของบางอย่างมันไม่มี ก็ต้องใช้แทนๆกันไป ... เรื่องบางอย่าง เป็น clinical adjustment ก็น่าจะปล่อยๆไป
คนไข้เป็นบางโรคที่มันไม่มียาตัวที่เป็นStandard ใช้ ... คนไข้ไม่มีเงินที่จะไปไหนไกลๆ .... ผมก็ต้องปรับๆยากันไป
ตัวอย่างกรณี
- เด็กโดนหมากัดเหวอะหวะ ทดสอบแล้วแพ้อย่างชัดเจน (Wheal ใหญ่โตเป็นปื้นUrticariaขนาดฝ่ามือผุ้ใหญ่)ต้องใช้HRIG ... แต่ตอนนั้นโรงพยาบาลผมไม่มี ... ผมติดต่อห้องยาไป เภสัชกรปัดว่าเป็นหน้าที่หมอ เพราะในเมื่อไม่มีในห้องยาก็ไม่ใช่หน้าที่ของเภสัชกร .... ผมติดต่อไปทั้งรพศ. และโรงพยาบาลในกรุงเทพหลายแห่ง
ติดต่ออย่างไรก็ไม่มี ... (ต่อมาจากเรื่องนี้ รพ.กำหนดว่าเรื่อง stockเป็นหน้าที่เภสัช หมอแค่สั่ง เภสัชแค่บอกว่าหาได้หรือไม่ได้อย่างไร) ... สุดท้ายปรึกษาสภากาชาด ได้คำแนะนำว่า ให้เลือกสองแบบระหว่าง ERIG แบบเตรียมTube เตรียมCPR (เผื่อ anaphylaxis) หรือไม่ก็ฉีด8จุด
ผมก็เลยแจ้งเภสัช ... ผลคือ เขาบอกว่าไม่เห็นด้วยกับทั้งสองวิธี ... สรุปได้ว่า ถ้าหมอสั่ง ก็จะคัดค้าน(ส่วนสั่งไม่สั่งแล้วแต่หมอ) พอถามว่าอย่างนั้นจะทำยังไง ... คำตอบคือไม่รู้ แต่หมอต้องติดต่อให้ได้ HRIG
- สั่งยาCPM เพื่อนอนหลับ ... ปกติผมก็ไม่ค่อยชอบนัก เพราะรู้ว่าเรื่องanticholinergicมันก็มีผลเสีย ... แต่อย่างกรณีคนไข้ที่เคยฆ่าตัวตายหรือคนไข้ที่ใช้ยานอนหลับมากเกิน มันก็ต้องเลิกประมาณนี้ (พูดSleep hygieneจนปากเปียกแฉะแล้ว) ... เภสัชกร ก็ยังยืนยันประมาณเดิม " ไม่ได้นะหมอ หมอต้องแนะนำเขาจนกว่าเขาจะเข้าใจนะ blah blah"
6. เภสัชกร แย้งความเห็นแพทย์เรื่องการวินิจฉัยและรักษา
บางทีตรวจเสร็จหลายๆอย่าง สั่งยาแล้ว พอคนไข้รับยาแล้วไปแสดงความเห็นว่าแพทย์น่าจะวินิจฉัยไม่ถูกต้อง
บางทีดีหน่อย ไม่ได้บอกคนไข้ แต่โทรมาบอกหมอก่อน ... แต่เซ็ง เพราะบางโรค มันต้องตรวจร่างกายหรือตรวจทางห้องปฏิบัติการ ... แต่นี่บางทีคัดค้านหมอทั้งที่ไม่ได้ตรวจ
7. บัตรแพ้ยา ใครวินิจฉัย
อันนี้เจอบ้างเป็นครั้งคราว แต่ปัจจุบันเป็นปัญหา
เคยมีกรณีคนไข้แพ้ยาจากคลินิกเมื่อหลายปีก่อน มีบัตรแพ้ยาจากแพทย์ว่าแพ้ Diclofenac (ไม่ได้เขียนรายละเอียด) และแพทย์ที่รพ.ลงในเวชระเบียนตามบัตรแพ้ยานั้นว่าผู้ป่วยแพ้ยาใด
เภสัชกรจัดการลบทิ้ง และมีการบอกว่า "คนที่จะบอกว่าใครแพ้ยาหรือไม่ คือเภสัชเท่านั้น และคนที่มีสิทธิออกบัตรแพ้ยา คือเภสัชกรเท่านั้น"
ฟังดูมันดีทางวิชาการนะครับ เพราะที่ผมเรียนมา การจะบอกว่าคนไข้แพ้ยาตัวไหน แพ้ยาอะไร ต้องร่วมกันหลายฝ่าย ... ปกติตามมารยาท ผมจะให้เภสัชกรมาพิจารณาด้วยเสมอ
ปัญหาคือ คนไข้ไม่ได้แพ้ยาที่รพ.อย่างเดียว ... บางคนเคยแพ้ยาที่อื่นมา บางคนเคยแพ้เมื่อนานมาแล้ว
เรื่องบ้าบอคือ ผมไม่มีสิทธิในการออกบัตรแพ้ยาเอง ไม่ว่าประวัติจะเหมือนแค่ไหน
เภสัชกรก็จะไม่ออกบัตรให้ ... ถ้าไม่เห็นของจริงว่าแพ้แบบใด
แต่ดันจะเขียนในเวชระเบียน และทักท้วงบ้างเป็นครั้งคราว
อย่างคนไข้แพ้ยาเพนิซิลิน5แสนปากลอกหน้าลอก (มันมีตัวเดียวแหละ) ... ผมจะเขียนให้คนไข้ติดตัวไว้ไม่ได้ ก้าวก่าย ... เภสัชเขียน ก็ไม่ได้บอกว่า ไม่ณู้ว่าคนไข้แพ้จริงหรือลอกจากอย่างอื่น ... แต่เวลาหมอสั่ง ก็จะถามตลอดว่าเคยแพ้กลุ่มนี้เปลี่ยนดีไหม ....
ผมเลยงงครับ เรื่องหลังนี้ไม่ได้เจอบ่อย ไม่ได้เจอทุกคน ... (เจอแค่บางคน)
แต่ที่เจอทุกคนคือ จะไม่มีการออกบัตรแพ้ยาแพ้อาหารจากแพทย์เด็ดขาด ประมาณว่าเป็นการก้าวก่ายสายงาน
และที่ผมเจออยู่ในปัจจุบันคือ คนไข้ที่แพ้ยา และให้ไปทำบัตรแพ้ยา ก็มีอีกหลายคนที่ไม่มีบัตรแพ้ยา ... ผมไม่ทราบว่าทำไม
แพ้เห็นๆอยู่ ... เภสัชกรก็confirm ... แต่ส่งให้ไปทำไม่ได้ทำ
บางคนแพ้ซ้ำสองจากที่อื่นกลับมา ปัจจุบันไม่ได้ทำก็มี!
8. ความไม่ให้เกียรติทางวิชาชีพ (ตั้งแต่ระดับอาจารย์)
ในบรรดาวิชาชีพทางการแพทย์ทั้งหลาย วิชาชีพที่ผมต้องระวังตัวคือเภสัชกร
ผมเป็นคนที่ถือเรื่องการให้เกียรติในที่ทำงานพอสมควร ... แต่ก่อนผมไม่เคยBlameใคร
พยาบาล ทันตะ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เวลาเขาไม่พอใจอะไร ส่วนมากมาคุยกันตรงๆหรือไม่ก็รายงานตามสายงานตามระบบ
เภสัชกร ... ดูเหมือนมีกลุ่มของตนที่ชัดเจนคล้ายของแพทย์(รวมตัวได้ดีกว่าวิชาชีพอื่น) ความรู้ทางด้านยา ก็เป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร
แต่เวลาเกิดปัญหา หลายครั้งหลายคราวทีเดียว บ่นหรือนินทา(ขอใช้คำนี้แหละ) ว่ากล่าวแพทย์ว่าทำการไม่เหมาะสม
ลองคิดดูครับ วิชาชีพอื่นเขาไม่รู้เรื่องยาเท่าเภสัชอยู่แล้ว เขาได้ยินจะคิดอย่างไร
หลายเรื่อง เภสัชกรบ่นๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ตำหนิๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ...... แต่ไม่ได้ดูเลย
บางเรื่องตนเองไม่เคยคัดค้าน
บางเรื่องตนเองไม่เคยบอกหมอไม่เคยเตือนหมอ
ไม่เตือนแต่แอบว่า ผมถือว่าแย่กว่าเสียอีกครับ ....
ซ้ำร้าย
บางเรื่องเป็นเรื่องที่เป็น controversyทางการแพทย์อยู่แล้ว ในJournalยังเถียงกันไม่จบด้วยซ้ำ
เพียงแค่แพทย์เห็นไม่เหมือนเภสัชกร ... แต่โดนเอาไปวิจารณ์ว่า Malpractice (แค่เรื่องASAนั่นประไร)
...
เรื่องไม่ให้เกียรติอีกอย่างคือเรื่องการพูดจา
คงจะไม่เล่าเรื่อง แต่เป็นการพูดจาดูถูกในประเด็นที่ไม่เกี่ยวกับวิชาการ พูดจาในเชิงเหยียดหยามในระดับวิชาชีพ อันนี้เจอกับตนเอง ...
เปลี่ยนไปเรื่องอื่นดีกว่า เอาเรื่องอาจารย์แล้วกัน
....
ที่สำคัญคือ ผมเห็นว่าวิชาชีพทางสาธารณสุขที่มีอาจารย์ที่สอนให้ลูกศิษย์มองวิชาชีพอื่นในแง่ลบ อันดับ1คือเภสัชฯ
เรื่องนี้ ผมทั้งประสบตรงๆกับตัว ... ได้ยินการสอนตอนที่เรียนและอยู่ในward ... และเพื่อนที่เรียนเภสัช เคยเล่าให้ฟัง
แม้แต่ตอนพรบ.ยารอบแรกเมื่อหลายปีก่อน ผมจำได้ดี เวลาออกทีวี อาจารย์เภสัชกรหลายท่าน ให้ความเห็นในเชิงสรุปว่า"แพทย์คัดค้านเพราะเป็นผู้เสียผลประโยชน์" ในขณะที่ตอนนั้นทางฝั่งแพทย์จะให้เหตุผลในลักษณะเหตุและผล ไม่ค่อยมีใครใช้วิธีblameว่าเภสัชคัดค้านเพราะต้องการผูกขาดการขายยา
ตอนนั้นต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่า ทำไปเพื่อประโยชน์ของประชาชน ... แต่ภาพตอนนั้น ในขณะที่แพทย์ออกทีวี เล่าเหตุและผลเล่าสิ่งที่จะเกิดในเชิงระบบ โดยแทบจะไม่ยุ่งเรื่องประเด็นเรื่องเงิน
เภสัชกรที่ไปออกทีวีตอนนั้น หลายคน กล่าวหาแพทย์อยู่เป็นระยะในรายการ ว่าที่แพทย์คัดค้านเป็นเพราะเสียผลประโยชน์ จะได้เงินน้อยลง ...
เรื่องนี้ โผล่ไปอยู่ในระดับอาจารย์มหาวิทยาลัย ... มีกลุ่มนักศึกษาเภสัชที่ดำเนินการในเขตมหาวิทยาลัยในเชิงโจมตีแพทย์ บอกกล่าวกับประชาชนว่าแพทย์เสียผลประโยชน์จึงคัดค้าน
ผมไปเดินฝั่งธรรมศาสตร์ เจอนักศึกษา(ที่บอกว่าเป็น)เภสัชมหิดล มายื่นใบให้ลงชื่อคัดค้านพรบ.ยา ... ได้ฟังเด็ก(ที่อ้างว่าเป็น)เภสัช ด่าหมอให้ฟังอย่างเผ็ดร้อนหลายประการ (เอาไปสร้างหนังได้สบาย)
ที่กล้าขนาดเข้าไปล่ารายชื่อในศิริราช ตอนนั้นยังมี!
ผมไม่รู้หรอกนะครับ ว่าอาจารย์บางท่านไปกินแหนงแคลงใจกันอย่างไร
แต่ได้ยินมาก็บ้าง ประสบมาก็มี อาจารย์เหล่านี้ สอนให้นักศึกษาเภสัชฯ เกิดความรู้สึกไม่ดีกับวิชาชีพแพทย์โดยตรง ....
ในทางกลับกัน วิชาชีพอื่น ผมไม่เห็นเขาจะมีการสอนหรือสอดแทรกอะไรแบบนั้น
อาจารย์ที่สอนสั่งผมมา ไม่มีแม้สักคนที่สอนหรือเล่าเรื่องที่ไม่ดีของเภสัชฯ ... ขนาดช่วงพรบ.ยา ที่ดูเหมือนจะมีความแตกแยกทางวิชาชีพ ... เคยมีคนที่ถามเรื่องการแขวนป้าย... คำตอบที่ได้คือ การอธิบายว่าการแขวนป้ายเป็นอย่างไรเท่านั้น ผิดถูกดูอย่างไร ไม่มีการว่าอะไรต่อ
แต่ในทางกลับกัน หลายครั้งหลายคราว กลับมีคำกล่าวประมาณว่า อย่าไปทำแบบหมอ ที่เปิดร้านแล้วให้เมียตรวจ!!!
เรื่องพวกนี้ ผมเชื่อว่าเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ... แต่เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลที่อันตราย เนื่องจากมันส่งผลกระทบต่อมุมมองที่เภสัชกรรุ่นใหม่ๆจะมองแพทย์ในแง่ลบ
และเป็นการปลูกฝังพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อเพื่อนร่วมสาขาสาธารณสุข
..... ผมเห็นหลายครั้งแล้วครับ ในPantipเองนี่แหละ ..... คุณ Epinephrine ก็เคยทำ ... รวมไปถึงกลุ่มที่ผมจำชื่อได้ว่าเป็นเภสัชกรโดยเฉพาะที่เป็นรุ่นใหม่ๆทำงานไม่เกิน5ปี
บางครั้งบางคราว คนไข้เอาเรื่องยามาปรึกษา รายละเอียดไม่ได้ชัดเจนมากมาย ... เภสัชกรบางท่านในpantipให้ความเห็นสุดโต่งประมาณว่า หมอจ่ายยาตัวนี้อย่างไม่จำเป็น ... เป็นการใช้ยาเกินพอดีบ้างล่ะ เป็ฯเพราะอยู่เอกชนบ้างล่ะ ...
ความเห็นแบบนี้ อันตรายมาก ... เพราะบางครั้งข้อมูลที่คนไข้หรือญาติรู้แล้วบอกในเน็ท และข้อมูลที่แพทย์ตรวจเจอ มันคนละเรื่อง
ผมเคยตรวจคนไข้ เจอว่าติดเชื้อทางเดินปัสสาวะซ้ำ มีไข้ ให้ยากลุ่มQuinoloneคนไข้แล้วก็บอกชื่อโรคเสร็จสรรพ ... หลังจากนั้น เจอญาติเอายามาด่า+ขว้างใส่ เพราะว่าญาติสงสัย... ไม่ได้ถามหมอ แต่ดันเอายาไปถามเภสัชที่อื่น โดยไปถามว่า"ครั่นเนื้อครั่นตัวคล้ายจะเป็นหวัด ได้ยาแบบนี้มา" เภสัชดันไปบอกว่าแค่เป็นหวัดไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยา แถมนี่หมอจ่ายยามั่วเพราะเป็นหวัดก็ไม่ใช้ยาตัวนี้
....
....
....
อย่าให้ผมรู้แล้วกันว่าเป็นเภสัชกรร้านไหน ฮึ่มๆๆๆ ให้คำแนะนำเรื่องยาทีไร ต้องมีหยอดว่าหมอไม่ดีอยู่เรื่อย(อันนี้เป็นหลายร้าน ทั้งเภสัชและไม่ใช่ ปนปนกัน)
อ้าว .... ไปไป มามา มันลงเป็นเรื่องบุคคลไปซะได้
ว่ากันโดยสรุปนะครับ
ผมรู้สึกว่า เภสัชกรในปัจจุบันมีความรู้สึกในหน้าที่ของตนดี
รู้ดีเลยทีเดียวว่าบทบาทที่ตนควรจะทำคืออะไร ... แต่ด้วยหลายๆปัจจัย เภสัชกรยังทำไม่ได้เต็มที่ และในความที่ทำไม่ได้เต็มที่นั้น มันเกิดช่องโหว่ขึ้นมาในการทำงานซึ่งส่งผลกระทบต่อการดูแลผู้ป่วย
แต่เภสัชกรจำนวนไม่น้อย ยังมีความรู้สึกว่างานเหล่านั้นห้ามคนอื่นมาทำ....
แต่เมื่อเกิดผลอันเป็นความเสี่ยงต่อผู้ป่วย ... ก็มีไม่น้อย ที่ผลักหน้าที่การรับผิดชอบไปยังฝ่ายอื่น ... การผลักความรับผิดชอบ มีตั้งแต่การพูดจา หรือแม้แต่การเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร
ซึ่งบางครั้งสร้างความเสี่ยงต่อเพื่อนร่วมงานโดยไม่จำเป็น
ปัญหาพวกนี้สะสมมาหลายปีและผมสังเกตตั้งแต่ผมเป็นนักศึกษาแพทย์
เภสัชกรที่เจอ เจอในทั้งรพท. และรพช.
ปริมาณอาจจะไม่มากมายนัก
เหตุการณ์เล็กๆน้อยๆ เจอประปราย แต่มันมากพอที่จะทำให้ผมไม่ไว้ใจเภสัชกรโดยเฉพาะคนที่ทำงานมานานหรือเภสัชกรที่มีอายุ ....
และผมแค่หวังว่า รุ่นหลังๆที่มีความคิดดีๆมีแนวคิดมุมมองของตนเองอยู่ จะไม่เจอกับสภาพงานที่ไปกระตุ้นให้สิ่งที่โดนอาจารย์เภสัชบางคนแอบปลูกฝังไว้ ให้กลายเป็นมองแพทย์ในลักษณะศัตรูร่วมวิชาชีพ
ได้แค่หวังครับ
โดย: หมอแมว IP: 58.9.138.91 วันที่: 18 พฤศจิกายน 2550 เวลา:2:34:19 น.
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id ... =10&blog=1