New Document









ปลายหุบของเภสัชกรไทย ; The Ending Thai Pharmacist

ห้องเภสัชกร

Re: ปลายหุบของเภสัชกรไทย ; The Ending Thai Pharmacist

โพสต์โดย Barrios » 19 มิ.ย. 2010, 18:15

ขอเรื่อง "เป็ด" ครับ
สมัยนี้จบ ป.ตรี สาขาไหน ๆ ก็เป็ดทั้งนั้น ไม่รู้จริงซักวิชาชีพ หมอ GP (รักษาโรคยาก ๆ ????) , ทันตฯจบใหม่ (ฝีมือทำฟัน ??? ) , นายร้อยตำรวจ นายร้อยทหารพึ่งจบ ???? , อาจารย์ มหาวิทยาลัยที่พึ่งจบ ?????
ถ้าไม่เก่งมาโดยกำเนิด ผมว่าพึ่งจบ เริ่มทำงานก็ ก๊าบ ๆ ๆ ๆ เหมือนกันหมด
ภาพประจำตัวสมาชิก
Barrios
 
โพสต์: 714
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2009, 08:41
ที่อยู่: ประเวศ กทม.







Re: ปลายหุบของเภสัชกรไทย ; The Ending Thai Pharmacist

โพสต์โดย kohboy » 19 มิ.ย. 2010, 18:34

Barrios เขียน:ใครที่เป็นแฟนมติชนสุดสัปดาห์,
เค้าลงบทความในหนังสือก่อนหน้านี้ประมาณ เล่มหรือสองเล่ม..คือ มีผลการสำรวจวิชาชีพที่จบป.ตรีแล้วได้เงินเดือนสูงสุดของไทย..นั่นคือ .."อาชีพเภสัชกร" (ได้มากกว่าสถาปนิกซะอีก!!)
นี่ไงคือคำตอบของการที่ นักเรียนอยากไปเรียนเภสัชฯกันเยอะ..
.." คำตอบคือเพื่อเงิน ไม่ใช่เพื่อชาติและประชาชน แน่นอน!!

ผมคิดว่าผลวิจัยนี้มันเอียง ๆ สำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง 100 คน (ประเทศนี้มีคนตั้งกี่อาชีพ จะไปสำรวจได้เภสัชแล้วเอามาเฉลี่ยได้ซักกี่คน ) เภสัชเหนือกว่าพวกจบ ป.ตรี 4 ปีด้วยกัน และไม่ได้บอกด้วยว่ารวม OT หรือไม่ ถ้าเภสัชขึ้นเวรมี work hour มากกว่าก็สมควรได้มากกว่า และงานนี้จัดแพทย์ ทันตฯ สัตวแพทย์ไปอยู่อีกกลุ่ม จบ 5-6 ปี(กรณี 5 ปีขึ้นไป เภสัชก็อยู่เหนือกว่าสถาปนิก แต่ด้อยกว่าแพทย์ ทันตฯ)

นสพ.มีปมกับบุคลากรทางการแพทย์ พาดหัว "เภสัชรายได้สูงสุด" โดยไม่พูดถึงรายละเอียด คนที่อยู่วงนอกอ่านผ่าน ๆ จะตกหล่นเยอะ (ไม่ได้ว่า พี่ Kohboy นะครับ)

ผมกังวลเรื่องรายได้ ป.ตรีทั่วไปมาก ลงทุนเรื่องการศึกษากันไปตั้งเยอะ จบมาได้เงินเดือน 8 -9 พัน มันไม่พอดำรงชีพ ถ้าเป็นการลงทุนในสินค้าก็ขาดทุน


"รู้อยู่แล้วหละครับว่าไม่ได้ว่าผม",
ผมก็ไม่ค่อยเชื่อหนังสือพิมพ์หรอกครับ, กลอนมันพาไป!!, ตอนพูดถึงเรื่องนี้เกิดนึกขึ้นได้เรื่องเภสัชฯเงินเดือนสูงสุดที่มติชนเอามาลง..เลยเอามาเป็นการกล่าวนำเข้าสู่เรื่องครับ


ประเด็นหลักที่อยากนำเสนออยู่ตรงนี้ต่างหาก..

..
คำตอบของการที่ นักเรียนอยากไปเรียนเภสัชฯกันเยอะ..
.." คำตอบคือเพื่อเงิน ไม่ใช่เพื่อชาติและประชาชน แน่นอน!!



:cool: :cool: :cool:
ภาพประจำตัวสมาชิก
kohboy
 
โพสต์: 1437
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2006, 14:51

Re: ปลายหุบของเภสัชกรไทย ; The Ending Thai Pharmacist

โพสต์โดย kohboy » 19 มิ.ย. 2010, 19:03

Barrios เขียน:ขอเรื่อง "เป็ด" ครับ



เรื่อง"เป็ด" กะจะเขียนอยู่แล้วครับ,
(โปรดรอซักครู่! กำลังเรียบเรียงเสียงประสานอยู่ครับ)
:biggrin: :biggrin:


มีเรื่องเล่าเรื่องเงินเดือน..
เรื่องที่๑
..อาทิตย์ก่อน,
ผมคุยหารือกับเพื่อนต่างอาชีพที่มีกิจการเป็นของตัวเอง เรื่องจะหาคนจบป.ตรี มาทำหน้าที่แอดมินของโรงเรียนสอนศิลปะที่ผมกับพวกจะหุ้นกันทำหนุกๆ,
งานที่ทำก็ไม่มีอะไรมาก..ก็พวกงานรับโทรศัพท์,แนะนำหลักสูตร,เอาเงินเข้า-ออกธนาคาร,ติดตามงานที่หุ้นส่วนอยากให้ทำแทนตน
ผมถามเพื่อนว่า.."ควรให้เงินเดือนเท่าไหร่?"
เพื่อนบอกว่า.."แปดเก้าพัน,กินเอง พักเอง"
ผมได้ยินแล้วตกใจ ไม่คิดว่าเงินเดือนป.ตรีจบใหม่จะได้แค่นี้, ยังถามย้ำเลยว่าจริงรึ?..เพื่อนก็บอกว่ามันป็นอย่างนั้นจริงๆ

เรื่องที่๒
..เป็นช่วงเวลาหลังการประกอบผลใบประกอบครั้งสุดท้ายที่ผ่านมา(ประมาณปลายๆเมษา มั๊ง),
น้องเภสัชฯไร้ใบประกอบที่เคยส่งอีเมลสมัครงานที่ร้านยาของผม เล่าให้ผมฟังเรื่อง มีเพื่อนเภสัชฯของเค้าที่ไม่มีใบประกอบโดนบีบให้ออกจากรพ.เอกชนดังแถวๆฝั่งธน เพราะรพ.จะรับเอาเภสัชฯมีใบประกอบมาทำหน้าที่แทน
ผมถามน้องไปว่า.."แล้วตอนนี้เภสัชฯที่โดนไล่ออกนั้นไปอยู่ที่ไหน?"
เค้าบอกว่า.."ไปทำงานอยู่ร้านยาที่มีพี่เภสัชแขวนป้ายอยู่แล้ว , ได้เงินเดือนหมื่นเจ็ด, กินเอง พักเอง เดินทางไปร้านเอง"

:neutral:
ภาพประจำตัวสมาชิก
kohboy
 
โพสต์: 1437
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2006, 14:51

Re: ปลายหุบของเภสัชกรไทย ; The Ending Thai Pharmacist

โพสต์โดย Kov3r » 19 มิ.ย. 2010, 20:57

ก่อนอื่นต้องขอสวัสดีพี่ๆ น้องๆ ทุกๆ คนนะครับ นี่เป็นโพสต์แรกในบอร์ดนี้หลังจากที่เป็น Lurker อยู่นานพอสมควร ตัวผมเองยังเรียนไม่จบ ขณะนี้กำลังอยู่ในชั้นปีที่ 4 ผมเห็นด้วยกับพี่ๆ ที่พูดถึงเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับวิชาชีพเภสัชกร ผมเองคงไม่มีประสบการณ์มากเท่ากับพวกพี่ๆ แต่จากการได้ไปฝึกงานหลายครั้ง รวมทั้งมีพี่ที่สนิทกันที่ทำงานเป็นเภสัชในสาขาต่างๆ รวมไปถึงเป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัย ทำให้ผมได้รู้และเห็นว่า ความน่าเศร้าของวิชาชีพเรามันเป็นอย่างไร ส่วนตัวผมรู้สึกได้ว่างานในห้องจ่ายยา เป็นอะไรที่ผมจะไม่ทำแน่นอน ผมรู้สึกได้เลยว่า ทำไปแล้วสมองจะฝ่อ แทบไม่ได้บริหารสมอง (ต้องขออภัยพี่ๆ ที่ทำงานในห้องยา แต่ผมรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ) แต่ตัวผมมีความต้องการที่จะทำงานในสายคลินิก ผมจึงพยายามไปศึกษาหาข้อมูลต่างๆ เพื่อที่จะได้ทำงานในสายนี้ อย่างมีโอกาสที่จะก้าวหน้าและได้ทำประโยชน์มากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การได้รู้เกี่ยวกับหลักสูตรต่างๆ ในต่างประเทศเช่นอเมริกา คือ college of pharmacy จะมีสองหลักสูตรคือ 4ปี จบแล้วได้ BS Pharm กับ 6ปี ซึ่งจบแล้วได้ PharmD พี่ๆ คงทราบแล้วว่า BS Pharm ไม่สามารถสอบ license ได้ เพราะเค้าถือว่าคุณไม่ได้เรียนทางด้านคลินิก และไม่ได้ train จนเชี่ยวชาญ แล้วทำไมประเทศเรา หลักสูตรเรียน 5 ปี จบแล้วได้ BS Pharm แต่สอบ license ได้ คำตอบมันก็คงเป็นเพราะกฎหมายระบุไว้อย่างนั้น แต่การที่มันเป็นแบบนี้ทำให้ เด็กที่จบมาไม่มีความรู้ทางด้านคลินิกอย่างลึกซึ้ง แล้วจะไปทำงานด้านนี้ได้มากกว่าการอยู่ห้องยาได้อย่างไร ส่งผลให้เกิดกรณีว่ามีคำนำหน้าชื่อแต่ความรู้ไม่ลึกซึ้ง ทำให้ถูกดูถูก ซึ่งสำหรับความรู้สึกผมแล้ว ผมขอเรียน 4 ปี แล้วขอเป็นแค่นักวิทย์ ดีกว่าเรียน 5 ปี แต่มีคำนำหน้าชื่อว่าเภสัชกร แต่ไม่มีความรู้มากพอที่จะช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างลึกซึ้งได้ ซึ่งผมไม่คิดว่าเป็นความผิดของผู้ที่เรียน แต่เป็นหลักสูตรที่ผิดพลาดต่างหากที่ทำให้วิชาชีพของเราไม่ก้าวหน้า แล้วปีที่ 5 ที่ต้องเรียนนั้น เวลาที่เสียไปตกไปอยู่กับการทำ senior project ซึ่งไม่ได้ช่วยให้ความรู้ในทางคลินิกมากขึ้นเลย ฝึกก็ไม่ได้ฝึก มีแต่ทฤษฎีในหัว จะเรียกใครซักคนว่าหมอ(ยา) ถ้าคุณไม่ฝึกจนเชี่ยวชาญ จะเรียกคนนั้นว่าหมอได้อย่างไร ผมจำคำพูดที่อาจารย์ในห้องพูดได้ว่า วิชาชีพเราชอบดูถูกตัวเอง ไม่คิดว่าตัวเองมีความรู้สู้กับวิชาชีพอื่นได้ ผมคิดในใจว่าจะให้ไปเป็นเภสัชกร Pharmacotherapy น่ะได้เรียนซักตัวมั๊ยในหลักสูตร 5 ปี จะเอาอะไรไปพูดกับเค้า ผมจึงวางแผนที่จะเอาตัวเองออกจากระบบแย่ๆ เช่นนี้ ด้วยการจะต่อ PharmD แล้วไปต่อ Board แล้วจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพื่อที่จะสะท้อนบทบาทของความเป็นเภสัชกร ซึ่งผมก็หวังว่าวันนึง วิชาชีพของเราจะก้าวหน้าไปมากกว่านี้ ในทุกๆ สาขา ท่านคานธีพูดไว้ว่า Be the change that you wanna see in the world
ถ้าเป็นไปได้ วันนึงผมจะเป็นอย่างที่ท่านคานธีกล่าวไว้
Kov3r
 
โพสต์: 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 19:55

Re: ปลายหุบของเภสัชกรไทย ; The Ending Thai Pharmacist

โพสต์โดย Barrios » 20 มิ.ย. 2010, 10:49

คำตอบของการที่ นักเรียนอยากไปเรียนเภสัชฯกันเยอะ..
.." คำตอบคือเพื่อเงิน ไม่ใช่เพื่อชาติและประชาชน แน่นอน!!

ถ้าผมรู้ว่าหมอ กับ ทันตฯ รายได้ต่างกับเภสัชฯ มากขนาดนี้ ผมคงเลือกเรียนทันตฯไปแล้ว :mrgreen:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Barrios
 
โพสต์: 714
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2009, 08:41
ที่อยู่: ประเวศ กทม.

Re: ปลายหุบของเภสัชกรไทย ; The Ending Thai Pharmacist

โพสต์โดย Manit » 20 มิ.ย. 2010, 11:40

ประเด็นเรื่องที่ว่าคณะเภสัช ยังเป็นที่นิยมในการสอบเอ็นทรานซ์นั้น น่าจะเกิดจาก ความสำเร็จของพี่ๆเภสัชกรรุ่นก่อนๆในการสร้าง

ฐานะทั้งทางการเงินและทางสังคม อย่างในจังหวัดผมมีร้านยาของพี่ๆเภสัชกรที่มียอดขายที่ดีมากๆเป็นที่รู้จักดีของคนทั่วไป

ทางราชการก็มีพี่ๆเภสัชกรในสสจ.และรพท. ที่ได้ถึงซี 9 ทำให้คนวงนอกอยากให้ลูกหลานเรียนเภสัช เป็นจำนวนมาก

ประกอบกับมีการเปิดหลักสูตรพิเศษและม.เอกชน เพื่อรับเภสัชเพิ่มอีกเป็นจำนวนมาก ทำให้การเข้าเรียนเภสัชทำได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม

มาก ซึ่งปริมาณเภสัชกรที่มากเกินไปนี้มีสิ่งที่สะท้อนให้เห็นได้คือค่าตอบแทนที่เริ่มจะลงไปใกล้เคียงกับพยาบาลมากขึ้นทุกที่

และถอยห่างจากแพทย์และทันตะมากขึ้นเรื่อยๆ สวัสดิการต่างๆในสมัยที่ผมมารับราชการใหม่จะให้แพทย์ ทันตะ และเภสัช อย่างเท่า

เทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบ้านพัก ตู้เสื้อผ้า ที่นอน แต่ในระยะหลังมานี้ เริ่มเห็นความแตกต่างครับ มีการติดแอร์ที่บ้านพักให้แพทย์กับ

ทันตะแต่เภสัชไม่ได้ ผลกระทบต่างๆนี้คนภายนอกยังมองไม่เห็นครับ การหางานที่ยากขึ้น ค่าตอบแทนที่ใกล้เคียงกับพยาบาลมาก

ขึ้น ร้านยาที่แข่งขันกันรุนแรงมากขึ้น สิ่งเหล่านี้คงต้องใช้เวลาอีกสักระยะที่คนภายนอกจะเห็นได้ชัด และเมื่อนั้นความนิยมของคณะ

เภสัชจะลดลงครับ แต่มิได้หมายความว่านักศึกษาจะลดลงนะครับ แต่คนเก่งๆจะไม่เลือกเรียนครับ เด็กก็คงเรียนมากเหมือนเดิมแต่

คะแนนสอบเข้าจะต่ำลงๆ

ผมบอกลูกๆว่าโตขึ้นถ้าอยากทำงานสายสาธารณสุข ให้เลือกแพทย์ หรือทันตแพทย์เท่านั้น ไม่งั้นก็ไปทำงานสายอื่นๆดีกว่า ที่พูดนี่

ไม่ใช่ผมไม่รักวิชาชีพนะครับ ผมยังรักวิชาชีพเภสัชกรไม่เปลี่ยนแปลง แต่เมื่อผมมองไปในอนาคตแล้ว มืดมนครับ ยาต่างๆที่เคยจ่าย

ได้ในร้านยา อนาคตคงถูกบีบให้น้อยลงเรื่อยๆครับ เพื่อให้ไปพบแพทย์แทน (ประเด็นนี้ผมนึกขึ้นมาทีไร นึกเคืองพี่เภสัชใน อย. ทุก

ครั้งครับ เพราะเวลาประชาสัมพันธ์เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับยา มักทิ้งท้ายด้วยคำว่า ?อย่าซื้อยากินเอง ควรไปพบแพทย์? พวกเราที่เป็น

เภสัชกรน่าจะรณรงค์ว่า ในการประชาสัมพันธ์หรือให้ความสุขศึกษาควรทิ้งท้ายด้วยคำว่า ?ก่อนใช้ยาควรปรึกษาเภสัชกร? ขอให้พวก

เราทำให้คำนี้ติดปากชาวบ้านให้ได้นะครับ )

เมื่อสิบกว่าปีก่อนผมเคยทักเรื่องการรับนักศึกษาเภสัชว่ามีปริมาณมากเกินไป ก็มีคนมาต่อว่าผมเรื่องไม่เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ ซึ่งผม

มองว่าการกำหนดจำนวนนักศึกษาที่เหมาะสม ไม่ได้เป็นการปิดโอกาส แต่เป็นเรื่องของการวางแผนกำลังคนที่เหมาะสมต่างหาก

หลายคนคงนึกแย้งว่า กฎหมายไม่ได้ให้อำนาจสภา ในการควบคุมจำนวนเภสัชกร ใช่ครับ แต่ผมกำลังมองว่าถ้าเภสัชกรที่เป็นผู้หลัก

ผู้ใหญ่ และอาจารย์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ มาลงพูดคุยกันถึงเรื่องปริมาณเภสัชกรที่เหมาะสม ก็น่าจะช่วยกันควบคุมปริมาณได้ในระดับ

หนึ่ง เรื่องนี้ผมมองว่าเราต้องวางเป็นยุทธศาสตร์ในระยะยาวด้านกำลังคนเลยนะครับ เรื่องกำลังคนอยากให้ดูตัวอย่างจากทันตแพทย์

ครับ หลายสิบปีมานี้การเพิ่มทันตแพทย์ค่อนข้างช้ามากครับ

บ่นมามากแล้ว พอก่อนดีกว่า :lol:
แพ้หรือชนะเริ่มต้นที่ความคิด
ภาพประจำตัวสมาชิก
Manit
 
โพสต์: 60
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2004, 20:00
ที่อยู่: นครพนม

Re: ปลายหุบของเภสัชกรไทย ; The Ending Thai Pharmacist

โพสต์โดย Kov3r » 20 มิ.ย. 2010, 11:47

ก็จริงอย่างที่พี่ๆ ว่าครับ เงินสำคัญกับการดำรงชีวิต แต่ถ้าเอาเงินมาเป็นตัวนำหน้า โดยไม่คิดถึงอย่างอื่นที่จะตามมามันก็แย่มากๆ
เดี๋ยวนี้อะไรๆ ก็เข้าไปสู่โลกทุนนิยมซะหมด รวมถึงเรื่องที่มหาลัยเยอะแยะมากมาย ขอเปิดคณะเภสัชก็เช่นกัน ซึ่งผมว่ามันเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก
Kov3r
 
โพสต์: 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 19:55

Re: ปลายหุบของเภสัชกรไทย ; The Ending Thai Pharmacist

โพสต์โดย ผัดหมี่ » 20 มิ.ย. 2010, 22:50

สมัยก่อน ที่ศักดิ์ศรีไม่ค่อยต่าง เพราะร่วมกันทำงาน แต่ทุกวันนี้คนมาก เกี่ยงกันทำงาน
ใครเสียสละคือคนบ้า (ก็ลองลุกให้คนแก่นั่งบนรถสองแถวซิ)
เภสัชกรในปัจจุบัน จะสร้างอะไรให้กับเภสัชกรรุ่นต่อไป
ในเมื่อทุกวันนี้ คนส่งลูกเรียน แพทย์ เภสัช ตำรวจ อาชีพบริการประชาชนแท้ๆ
(แม้แต่ในบ้านมันยังไม่บริการ แล้วมันจะมาบริการได้ดีอย่างไร) เน้นความเก่ง
ทำงานโดยขาดความสุขหรือเปล่า

เรื่องส่งลูกเรียนเภสัช แม้แต่แพทย์ยังอยากให้ลูกเรียนเภสัชเลย ไม่ต้องเหนื่อยมากก็ ขายอาหารเสริม DIRECT SELL สบาย

พี่เองยังให้ลูกสาวเรียนเภสัชเลย ไม่เคย(ไม่ให้)ไปสอบแพทย์ กลัวหลงประเด็น
ด้วยคาดหวังในคนรุ่นต่อไป ช่วยบริการ (ภายใต้แรงจูงใจ รายได้มั่นคง ที่พักสบาย ได้เที่ยว)
....
อย่าไปเปรียบเทียบรายได้ที่เป็นตัวเงินเลย
ความสุขกับการได้อยู่กับครอบครัว เทียบไม่ได้เลยกับการเป็นมนุษย์เงินเดือน
ความสุขที่ได้ทำตัวเป็นประโยชน์กับสังคม สร้างกระแสต่อๆไป
แม้จะโดนแบ่งรายได้ไปบ้าง ก็ไม่เป็นไร (เพื่อนร่วมโลก แบ่งกันกิน)
ภาพประจำตัวสมาชิก
ผัดหมี่
 
โพสต์: 231
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มิ.ย. 2010, 22:22

Re: ปลายหุบของเภสัชกรไทย ; The Ending Thai Pharmacist

โพสต์โดย LeMmOy » 20 มิ.ย. 2010, 23:59

ถ้าเป็นเภสัชมันยากนักก็ไปขายแอมเวย์ซะ
- เภสัช LeMmOy : อร่อยแท้แม้ไม่ทาอะไร -[/color]
ภาพประจำตัวสมาชิก
LeMmOy
 
โพสต์: 137
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 มิ.ย. 2009, 05:01

Re: ปลายหุบของเภสัชกรไทย ; The Ending Thai Pharmacist

โพสต์โดย kohboy » 21 มิ.ย. 2010, 20:14

LeMmOy เขียน:ถ้าเป็นเภสัชมันยากนักก็ไปขายแอมเวย์ซะ


หุหุหุ..กัดขายตรงไม่ปล่อยเลยนะครับ
ร่วมแจมหน่อยก็ได้ว่า..
..วินาทีนี้..เมืองไทยไม่เหมือนเดิมแล้วครับ ,

ต่อให้ระดับหัวๆของวงการขายตรง..ก็ไม่ได้เต็มไม้เต็มมือเหมือนเดิมหรอกครับ,
ยิ่งถ้าติดลมบน ใช้เงินมือเติบเหมือนเดิม..อาจร่วงหล่นอย่างฉับพลัน!


ปล.
ฉันใดฉันนั้น,
กับร้านขายยาที่มีทุนขนาดปานกลางแล้วพยายามขยายสาขา เพิ่มเอาๆ...ก็เตรียมตัวร่วง ได้เช่นกัน
(ขนาดพวกทุนหนาอย่างร้านยาที่มาจากอังกฤษและร้านที่มาจากสิงคโปร์..ยังแย่เลย)

:cool:
ภาพประจำตัวสมาชิก
kohboy
 
โพสต์: 1437
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2006, 14:51

Re: ปลายหุบของเภสัชกรไทย ; The Ending Thai Pharmacist

โพสต์โดย battyz » 22 มิ.ย. 2010, 04:44

มาอ่านแล้ว มีคำถาม

1. ที่ยืนของเภสัชกรไทย วัตถุประสงค์เขียนมาเพื่ออะไรครับ จะเรียกร้องหาความเท่าเทียมกันระหว่างเพื่อนร่วมวิชาชีพ จะเรียกร้องไปทำไมครับ หน้าที่ก้อต่างกัน ความรับผิดชอบก้อต่างกัน ช่วยเสนอแนะวิธีการไปยืนอยู่ในระนาบใกล้เคียงกันมาด้วยซิครับ และช่วยเล่าให้ฟังด้วยว่าถ้าจะไปยืนใหล่ชนกัน เพื่อให้เกิดการยอมรับว่าวิชาชีพแต่ละสายเพื่อกินกันไม่ลง แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา สุดท้ายแล้วจะหือไปเพื่ออะไรครับ

2. รายได้ของเภสัชกร เพียงพอกับการรักษาสถานะชนชั้นกลางในสังคมไทย เช่นกันมีเป้าประสงค์ในการเขียนมาเพื่ออะไรครับ จะมาเสนอวิธีการเพิ่มรายได้หรือครับ จะมาเสนอวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพงานขายหรือเทคนิคการตั้งร้านใหม่ให้รายได้มากขึ้น ขณะเดียวกันจะมานำเสนอวิธีการลดค่าใช้จ่ายลง ให้มีรายได้มากขึ้นหรือครับ

3. จะมานำเสนอวิธีการสร้างความเป็นปึกแผ่น เสริมความรักกันในวิชาชีพระหว่างเภสัชกรไทยด้วยกันเองหรือครับ

ด้วยความเคารพนะครับ ที่ว่าจะให้ติดตามต่อด้วยความระทึกเนี่ย กำลังจะมีตอนต่อเพื่อนำสรุปแนวทางเพื่อกระชับวงล้อม หัวข้อ 1 ถึง 3 ให้สมาชิกบ้านฟาร์มาคาเฟ่ได้เห็นภาพชัดเจนขึ้น

และคิดว่าตอนต่อไปกำลังจะมีการนำเสนอแผนการปรองดอง เพื่อให้ได้คำตอบที่ผมถามไว้ ใช่หรือไม่ อย่างน้อยก้อช่วยมานำเสนอวิธีการเพื่อขอคืนพื้นที่ให้เภสัชกรไทยไม่ตกไปปลายหุบ สมาชิกบ้านฟาร์ม่าคาเฟ่มีความเท่าเทียมกัน มีรายได้มากขึ้น รวมทั้งรักกันระหว่างเพื่อนร่วมวิชาชีพมากขึ้น แค่อยากรู้หน่ะครับ
battyz
 
โพสต์: 336
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ต.ค. 2008, 17:24

Re: ปลายหุบของเภสัชกรไทย ; The Ending Thai Pharmacist

โพสต์โดย kohboy » 22 มิ.ย. 2010, 09:07

battyz เขียน:มาอ่านแล้ว มีคำถาม

1. ที่ยืนของเภสัชกรไทย วัตถุประสงค์เขียนมาเพื่ออะไรครับ จะเรียกร้องหาความเท่าเทียมกันระหว่างเพื่อนร่วมวิชาชีพ จะเรียกร้องไปทำไมครับ หน้าที่ก้อต่างกัน ความรับผิดชอบก้อต่างกัน ช่วยเสนอแนะวิธีการไปยืนอยู่ในระนาบใกล้เคียงกันมาด้วยซิครับ และช่วยเล่าให้ฟังด้วยว่าถ้าจะไปยืนใหล่ชนกัน เพื่อให้เกิดการยอมรับว่าวิชาชีพแต่ละสายเพื่อกินกันไม่ลง แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา สุดท้ายแล้วจะหือไปเพื่ออะไรครับ

2. รายได้ของเภสัชกร เพียงพอกับการรักษาสถานะชนชั้นกลางในสังคมไทย เช่นกันมีเป้าประสงค์ในการเขียนมาเพื่ออะไรครับ จะมาเสนอวิธีการเพิ่มรายได้หรือครับ จะมาเสนอวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพงานขายหรือเทคนิคการตั้งร้านใหม่ให้รายได้มากขึ้น ขณะเดียวกันจะมานำเสนอวิธีการลดค่าใช้จ่ายลง ให้มีรายได้มากขึ้นหรือครับ

3. จะมานำเสนอวิธีการสร้างความเป็นปึกแผ่น เสริมความรักกันในวิชาชีพระหว่างเภสัชกรไทยด้วยกันเองหรือครับ

ด้วยความเคารพนะครับ ที่ว่าจะให้ติดตามต่อด้วยความระทึกเนี่ย กำลังจะมีตอนต่อเพื่อนำสรุปแนวทางเพื่อกระชับวงล้อม หัวข้อ 1 ถึง 3 ให้สมาชิกบ้านฟาร์มาคาเฟ่ได้เห็นภาพชัดเจนขึ้น

และคิดว่าตอนต่อไปกำลังจะมีการนำเสนอแผนการปรองดอง เพื่อให้ได้คำตอบที่ผมถามไว้ ใช่หรือไม่ อย่างน้อยก้อช่วยมานำเสนอวิธีการเพื่อขอคืนพื้นที่ให้เภสัชกรไทยไม่ตกไปปลายหุบ สมาชิกบ้านฟาร์ม่าคาเฟ่มีความเท่าเทียมกัน มีรายได้มากขึ้น รวมทั้งรักกันระหว่างเพื่อนร่วมวิชาชีพมากขึ้น แค่อยากรู้หน่ะครับ


ขอบคุณที่แวะมาถามครับ,
หวังว่าได้ไปอ่านทั้งหมดในมัลติพลายแล้วนะครับ

ที่บล้อคในมัลฯ..เป็นการนำเสนอข้อสรุปเป็นประเด็นความจริงที่ตาของเจ้าของบล้อคเห็น และสมองของเจ้าของบล้อคคิด ครับ
หาได้มีเจตนาสร้างความแตกแยกในวิชาชีพ,สร้างความร้าวฉานในวิชาชีพ, หรือลดความน่าเชื่อถือของเภสัชฯไม่ครับ
วัตถุประสงค์ทั้งหมดของบทความชุดนี้ ผู้เขียนบอกได้เลยว่า.."มีแต่ความว่างเปล่า" ครับ (พูดอีกอย่างก็คือ ให้ผู้อ่านคิดอย่างอิสระเอาเองภายหลังจากอ่านบทความในแต่ละประเด็น ว่าผู้เขียนต้องการอะไร)


สำหรับคำตอบในคำถามคือ..
๑.
..ไม่ได้เรียกร้องให้เภสัชฯเท่าเทียมกันกับหมอและหมอฟันครับ เพราะเป็นการเรียกร้องที่.."ไม่มีทางประสปผลสำเร็จ"
..ไม่เชื่อว่าต่อแต่นี้ไปเภสัชฯจะสามารถขึ้นไปยืนในระนาบเดียวกันกับหมอและเด้นท์ (และไม่เชื่อว่าจะมีวันที่หมอหรือเด้นท์จะลด หรือถูกลดระนาบของเค้าลงมาเท่ากับเภสัชฯ)
..ไม่เคยบอกให้เภสัชฯหือ หรือกระตุ้นให้เภสัชฯหือกับใคร เพราะยังไงก็หือไม่ได้! (หือ คือ โต้เถียงด้วยเหตุผลได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ตลอดจนสามารถคิด ตัดสินใจ กระทำ และแก้ปัญหา ในหน้างานของตนได้อย่างอิสระ)

๒.
..ไม่ได้ตั้งใจและไม่สามารถที่จะเสนอแนวทางเพิ่มรายได้ให้แก่เภสัชกรไทยคนใดได้เลย
เพราะลำพังกับตัวเอง ที่หวังจะเพิ่มรายได้ให้มากขึ้นด้วยวิชาชีพเภสัชฯที่ตัวเองมีอยู่ ก็ยังทำไม่ได้เลยครับ
ถึงขนาดที่วินาทีนี้ต้องปลอบใจตัวเองไปวันๆว่าตัวเองจะโชคดี และมีชีวิตรอดปลอดภัยทางการเงินไปด้วยการกินน้อยใช้น้อยและประหยัด ด้วยแนวทางและวิธีการของตัวเอง(ที่ไม่บังอาจเอาวิธีการของตัวเองไปสอนคนอื่นได้ เพราะวิธีของใคร,ก็วิธีของมัน)

๓.
..ผู้เขียนรู้ตัวดีว่าตนเองไม่สามารถ.. และไม่คิดว่าลำพังแค่ตัวเองจะสามารถ..เสนอวิธีการสร้างความเป็นปึกแผ่น เสริมความรักกันในวิชาชีพระหว่างเภสัชกรไทยด้วยกันเองได้ครับ
เพราะจากที่ได้พบเห็นมาหลายเรื่องหลายเหตุการณ์ได้กลายมาเป็นความเชื่อส่วนตัวว่าสภาพความจริงของสังคมเภสัชกรไทยได้เดินมาสู่ปลายหุบแล้วจริงๆ


ในส่วนท้ายสุด,
"ที่อยากรู้จากผมในเรื่องแผนปรองดอง,เรื่องรายได้, และเรื่องความรักในหมู่ผู้ร่วมวิชาชีพ นั้น..ผมจนปัญญาที่จะแนะนำ หรือให้วิธีการให้เป็นผลในทางปฏิบัติได้เลยครับ,
จะว่าผมโง่ก็ยอมรับหละครับ เพราะพยายามหาคำตอบมาตั้งแต่จบเภสัชมาจนถึงบัดนี้ ก็ยังไม่สามารถหาคำตอบเจอ,
ผมโง่จริงๆแหละครับ "
:cool:



ปล.
..ยังจะมีต่อไป และต่อไป ครับ
:neutral:

http://thelegendkohboy.multiply.com/journal/item/78



:neutral: :neutral: :neutral:
ภาพประจำตัวสมาชิก
kohboy
 
โพสต์: 1437
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2006, 14:51

Re: ปลายหุบของเภสัชกรไทย ; The Ending Thai Pharmacist

โพสต์โดย kohboy » 22 มิ.ย. 2010, 09:28

Manit เขียน:ประเด็นเรื่องที่ว่าคณะเภสัช ยังเป็นที่นิยมในการสอบเอ็นทรานซ์นั้น น่าจะเกิดจาก ความสำเร็จของพี่ๆเภสัชกรรุ่นก่อนๆในการสร้าง

ฐานะทั้งทางการเงินและทางสังคม ...

...
:lol:


(ขอตัดมาเพิ่มเติมในประเด็นหนึ่งก่อนนะครับ, ประเด็นอื่นๆขอพูดถึงในวันหลัง)


...
หลายเภสัชกรในนี้คงได้เคยเห็น ได้เคยเจอยุครุ่งเรืองของ"เภสัชฯดีเทลยา"
ในยุคนั้น..
..เงินเดือน,เบี้ยเลี้ยง,อินเซนถีฟจากการขาย,การปิดทาร์เก็ท,คอมฯเก็บ,รายได้จากการขายแซมเปิล,ขายกิมมิก,ขายยาลอยออร์เดอร์,บิลเลี้ยงลูกค้า,บิลน้ำมันรถ...รวมกันแล้วขี้หมูขี้หมาก็เดือนละห้าหกหมื่น ส่วนใหญ่ก็ได้แสนบวกลบเล็กน้อย, ปิดควอเตอร์ได้อีก, ปิดปีก็ได้อีก, บริษัทพาเที่ยวเมืองนอกตลอด

ปัจจุบัน..
..เดือนนึงได้กี่บาท?, มีรถรุ่นใหม่ๆ,มีสวัสดิการงามๆให้หรือไม่?
บริษัทยาใหญ่ๆแทบจะไม่จ้างดีเทลเภสัชฯ, หันไปจ้างคนขายเก่งๆและอดทนถึกๆที่ไม่ใช่เภสัชฯแทน



"เภสัชฯสายงานดีเทล..ไปก่อนเพื่อนตั้งนานแล้ว!!"

:cool:
ภาพประจำตัวสมาชิก
kohboy
 
โพสต์: 1437
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2006, 14:51

Re: ปลายหุบของเภสัชกรไทย ; The Ending Thai Pharmacist

โพสต์โดย kohboy » 22 มิ.ย. 2010, 09:34

Kov3r เขียน:ก่อนอื่นต้องขอสวัสดีพี่ๆ น้องๆ ทุกๆ คนนะครับ นี่เป็นโพสต์แรกในบอร์ดนี้หลังจากที่เป็น Lurker อยู่นานพอสมควร ตัวผมเองยังเรียนไม่จบ ขณะนี้กำลังอยู่ในชั้นปีที่ 4 ผมเห็นด้วยกับพี่ๆ ที่พูดถึงเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับวิชาชีพเภสัชกร ผมเองคงไม่มีประสบการณ์มากเท่ากับพวกพี่ๆ แต่จากการได้ไปฝึกงานหลายครั้ง รวมทั้งมีพี่ที่สนิทกันที่ทำงานเป็นเภสัชในสาขาต่างๆ รวมไปถึงเป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัย ทำให้ผมได้รู้และเห็นว่า ความน่าเศร้าของวิชาชีพเรามันเป็นอย่างไร ส่วนตัวผมรู้สึกได้ว่างานในห้องจ่ายยา เป็นอะไรที่ผมจะไม่ทำแน่นอน ผมรู้สึกได้เลยว่า ทำไปแล้วสมองจะฝ่อ แทบไม่ได้บริหารสมอง (ต้องขออภัยพี่ๆ ที่ทำงานในห้องยา แต่ผมรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ) แต่ตัวผมมีความต้องการที่จะทำงานในสายคลินิก ผมจึงพยายามไปศึกษาหาข้อมูลต่างๆ เพื่อที่จะได้ทำงานในสายนี้ อย่างมีโอกาสที่จะก้าวหน้าและได้ทำประโยชน์มากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การได้รู้เกี่ยวกับหลักสูตรต่างๆ ในต่างประเทศเช่นอเมริกา คือ college of pharmacy จะมีสองหลักสูตรคือ 4ปี จบแล้วได้ BS Pharm กับ 6ปี ซึ่งจบแล้วได้ PharmD พี่ๆ คงทราบแล้วว่า BS Pharm ไม่สามารถสอบ license ได้ เพราะเค้าถือว่าคุณไม่ได้เรียนทางด้านคลินิก และไม่ได้ train จนเชี่ยวชาญ แล้วทำไมประเทศเรา หลักสูตรเรียน 5 ปี จบแล้วได้ BS Pharm แต่สอบ license ได้ คำตอบมันก็คงเป็นเพราะกฎหมายระบุไว้อย่างนั้น แต่การที่มันเป็นแบบนี้ทำให้ เด็กที่จบมาไม่มีความรู้ทางด้านคลินิกอย่างลึกซึ้ง แล้วจะไปทำงานด้านนี้ได้มากกว่าการอยู่ห้องยาได้อย่างไร ส่งผลให้เกิดกรณีว่ามีคำนำหน้าชื่อแต่ความรู้ไม่ลึกซึ้ง ทำให้ถูกดูถูก ซึ่งสำหรับความรู้สึกผมแล้ว ผมขอเรียน 4 ปี แล้วขอเป็นแค่นักวิทย์ ดีกว่าเรียน 5 ปี แต่มีคำนำหน้าชื่อว่าเภสัชกร แต่ไม่มีความรู้มากพอที่จะช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างลึกซึ้งได้ ซึ่งผมไม่คิดว่าเป็นความผิดของผู้ที่เรียน แต่เป็นหลักสูตรที่ผิดพลาดต่างหากที่ทำให้วิชาชีพของเราไม่ก้าวหน้า แล้วปีที่ 5 ที่ต้องเรียนนั้น เวลาที่เสียไปตกไปอยู่กับการทำ senior project ซึ่งไม่ได้ช่วยให้ความรู้ในทางคลินิกมากขึ้นเลย ฝึกก็ไม่ได้ฝึก มีแต่ทฤษฎีในหัว จะเรียกใครซักคนว่าหมอ(ยา) ถ้าคุณไม่ฝึกจนเชี่ยวชาญ จะเรียกคนนั้นว่าหมอได้อย่างไร ผมจำคำพูดที่อาจารย์ในห้องพูดได้ว่า วิชาชีพเราชอบดูถูกตัวเอง ไม่คิดว่าตัวเองมีความรู้สู้กับวิชาชีพอื่นได้ ผมคิดในใจว่าจะให้ไปเป็นเภสัชกร Pharmacotherapy น่ะได้เรียนซักตัวมั๊ยในหลักสูตร 5 ปี จะเอาอะไรไปพูดกับเค้า ผมจึงวางแผนที่จะเอาตัวเองออกจากระบบแย่ๆ เช่นนี้ ด้วยการจะต่อ PharmD แล้วไปต่อ Board แล้วจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพื่อที่จะสะท้อนบทบาทของความเป็นเภสัชกร ซึ่งผมก็หวังว่าวันนึง วิชาชีพของเราจะก้าวหน้าไปมากกว่านี้ ในทุกๆ สาขา ท่านคานธีพูดไว้ว่า Be the change that you wanna see in the world
ถ้าเป็นไปได้ วันนึงผมจะเป็นอย่างที่ท่านคานธีกล่าวไว้


ดีครับ,
ทั้งหลายทั้งปวงก็คงจะเป็นอย่างที่คนเก่าคนแก่ได้เขียนไว้ซักที่ว่า.."อย่าหวังที่จะเปลี่ยนแปลงคนอื่น จงเปลี่ยนแปลงตัวเอง"


:cool:
ภาพประจำตัวสมาชิก
kohboy
 
โพสต์: 1437
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2006, 14:51

Re: ปลายหุบของเภสัชกรไทย ; The Ending Thai Pharmacist

โพสต์โดย apotheker » 22 มิ.ย. 2010, 10:23

แลกเปลี่ยนมุมมองดูบ้างนะครับ
เมื่อวานนั่งคุยกับเมียเรื่องอนาคตของลูก เค้าบอกว่าอยากให้ลูกเรียนวิศวะ เพราะเก่งคำณวน ผมถามว่าแน่ใจหรือ เพราะเห็นคนจบวิศวะมายืนขายยาหลังเคาน์เตอร์อยู่ก็หลายคน ถ้าวิชาชีพเค้าดีจริงทำไมไม่ทำงานในฟิลด์ที่ร่ำเรียนมาล่ะ ก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน

ผมยอมรับนะว่าเราอาจจะเป็นรอง แพทย์ ทันตแพทย์ ในเรื่องของรายได้หรือการยอมรับทางสังคม แต่เราก็ไม่หนีไปจากอันดับ3 ในสายวิทยาศาสตร์การแพทย์ ไม่หนีไปจากอันดับ3ในทุกสายด้วยละมั้งถ้าเอามาเรียงกันถึงความนิยม แล้วจะบอกว่าอาชีพที่อยู่อันดับ3อยู่ปลายหุบ มันก็ดูจะมองโลกในแง่ร้ายเกินไปไหมครับ

ในสายงานโรงพยาบาล เภสัชได้เข้าไปใช้ทุนมาเป็นเวลากว่า10ปี งานเภสัชกรรมในโรงพยาบาลพัฒนาไปมากครับ เมื่อ10ปีก่อนเราอยู่แต่ในห้องจ่ายยา ตอนนี้เราเริ่มขึ้นไปบนวอร์ดบ้างแล้ว แม้จะยังไม่ค่อยได้รับการยอมรับที่ดีนักแต่ก็เริ่มต้นไปได้หลายก้าวแล้ว

ในสายดีเทล ผมเห็นเด็กจบใหม่ๆไปทำงานบ.ยาก็ยังรับอยู่เยอะนะครับ ออริจินัลทำงานคงไม่เหลี่ยงเลี้ยงเหมือนเมื่อก่อน แต่รายได้ก็ไม่น้อยไฟเซอร์นี่ว่ากันว่ารวมเบ็ดเสร็จก็แตะ6หลัก สมัยผมทำนี่5หลักปลายๆก็แจ่มแล้ว

ในสายร้านยา เราไม่ค่อยพัฒนาไปจากเดิมสักเท่าไหร่ หมอตี๋ก็ยังเต็มบ้านเต็มเมือง ขณะที่ยอดขายยาในร้านยาก็โดนเบียดจากนโยบายประชานิยมทำให้รายได้ไม่อู้ฟู่ แต่ก็ยังมีน้องที่เปิดใหม่ๆแล้วได้กำไรเดือนหลายแสนอยู่แม้จะไม่มากแต่ก็มี ขึ้นอยู่กับว่าคุณหาblue oceanเจอหรือเปล่า ถ้า ไม่ดีจริงคนที่ไม่ใช่เภสัชเค้าจะกระเหี้ยนกระหือรืออยากเปิดร้านยากันอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้หรือ

สายโรงงาน มีเสียงบอกมาจากสายข่าวของผมว่า ถ้าเภสัชไม่สนใจงานสายนี้มากๆเข้า อีกหน่อยเนื้อชิ้นนี้ก็จะถูกเฉือนไปให้สายวิทย์เคมีแล้ว เพราะหาเภสัชมาทำยายาก ไปเน้นด้านฟาร์มแคร์กันหมด

สรุปแล้วผมว่าวิชาชีพไหนๆตอนนี้เวลานี้ก็เหนื่อยกว่าเดิมหมดแหละครับ ไม่เฉพาะเภสัช แต่พวกเราก็ยังคงรั้งอันดับ3ของตารางไว้ได้ ไม่ได้ถึงกับไปยืนอยู่ปลายหุบหรอกมั้ง :mrgreen:
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
apotheker
Global Moderator
 
โพสต์: 2435
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.พ. 2004, 11:48
ที่อยู่: simcity

ย้อนกลับต่อไป

ย้อนกลับไปยัง เอสเปรสโซ่

ผู้ใช้งานขณะนี้

New Document