เห็นแนวโน้มการรับเภสัชกรใหม่ในร้านยาแล้วก็ชื่นใจ แต่่......

[blacksmithday]

ขอพูดตั้ังแต่ปีที่ผมเริ่มทำงานคือ ปี 2549 ตอนนั้นผมได้เข้ามาที่ pharmacfe ครั้งแรก ประกาศรับสมัครงานในรร้านยาจะไม่ค่อยมีเท่าไร โดยส่วนมากจะมีของราชการ และโรงพยาบาลเอกชนก็มีพอสมควร น่าจะเป็นอัตราส่วนซักประมาณ 20:50:30 วันนี้ผ่านมา 4 ปีแล้ว ผมมองดูอัตราส่วนใหม่กลับกลายเป็น 50:15:35 ซึ่งดูแล้วก็ให้ดีใจถึงระบบร้านยาของเราว่ารับเภสัชกรมากขึ้น เปิดกว้างให้เภสัชกกรมากขึ้น ทาง อย และ สสจ น่าจะเริ่มมีบทบาทมากขึ้น ร้านยาจึงนำเภสัชกรตัวเป็นๆมาทำงานมากขึ้น แต่ดูแล้วก็ให้เศร้าใจในอีกทาง คืออัตราส่วนของกาารรับข้าราชการลดน้อยลง มีแต่รับแบบที่เป็นลูกจ้างชั่วคราว บางคนก็บอกเป็นลูกจ้างชั่ว ....บ้าง เมื่อมองภาพเหล่านี้ก็นะ ระบบราชการไม่ได้เปิดกว้างในการให้ตำแหน่งต่อวิชาชีพเราแล้วเหรอ หรือว่าอุปสงค์ อุปทานมันไม่สมดุลกันแล้ว เมื่อมองอีกมุมนึง มีเด็กจบใหม่หลายคนเข้ามาโพสเสนอตัวมากขึ้น คนนั้นดีอย่างนั้น คนนี้ดีอย่างนี้ เข้ามาเสนอตัวกันหลายคน เมื่อ 4 ปีที่แล้วจำได้ว่าไม่ค่อยเห็นปรากฎการณ์เหล่านี้ มันก็แปลกดีนะ ทางมหาลัยก็เร่งผลิตกันจัง ต่อไปคงเดินไปทางไหนคงมีแต่เภสัชกร (เกิน)

[rinko]

เรื่องน้องๆเภสัชกรกล้าเสนอตัวเองไม่ใช่เรื่องแปลกค่ะ แต่มันแปลกเพราะนี่คือสังคมไทย ถ้าได้เรียนหนังสือห้องเดียวกับคนยุโรป หรืออเมริกันจะพบว่า เขากล้าเสนอตัวว่าเก่งในทุกๆงาน แย่งกันเสนอด้วยซ้ำ นี่อาจเป็นการเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในระบอบการศึกษาของประเทศไทย ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะจำนวนนักศึกษาจบใหม่มากขึ้นเพียงปัจจัยเดียวค่ะ แต่เพราะเรารับวัฒนธรรมต่างชาติมาเยอะขึ้น กล้าแสดงออกมากขึ้น และการเข้าถึง internet มีมากขึ้น จึงมีผู้มาเสนองาน และเสนอตัวทำงานมากขึ้น และร้านยาก็ต้องมีจำนวนมากขึ้นตามมา เพราะเภสัชกรไม่ได้ใช้ทุนอยู่ช่วงหนึ่ง รวมทั้งความคิดของเด็กสมัยใหม่ที่กล้าตัดสินใจทำกิจการตนเอง เลือกงานมากขึ้น ไม่อยากเป็นลูกจ้างมากขึ้น และความอยากเป็นข้าราชการก็ลดลง คงไม่ใช่แค่ความสำคัญของเภสัชกรในกระทรวง หรือในหน่วยงานราชการเพียงอย่างเดียวค่ะ และร้านยาที่ไม่มีเภสัชกรก็ค่อยๆถูกบีบบังคับให้มีเภสัชกร ส่วนเภสัชกรที่ต้องสอบใบประกอบก็ไม่อยากแขวนป้าย เพราะเห็นความยากลำบากซึ่งการได้มา หรือว่าง่ายๆ เห็นคุณค่าใบประกอบมากขึ้น สังคมกำลังเปลี่ยนค่ะ แต่ถ้าไปอย่างถูกทิศทาง วิชาชีพเภสัชกรรมน่าจะทำให้ระบบสาธารณสุขประเทศไทยดีขึ้น เพราะเป็นวิชาชีพที่เข้าถึงชุมชนอย่างชัดเจนที่สุด ส่วนจำนวนเภสัชกรเมื่อเทียบกับคุณภาพ ก็แล้วแต่ความสามารถของสภาเภสัชกรรมแล้วล่ะค่ะ ว่าจะทำให้ดีขึ้นหรือแย่ลง

[ธวัชชัย วรรณสว่าง]

ทำไมไม่ให้นักศึกษาเภสัชฝึกงานในร้านยามากๆ ในเมื่อในอนาคตเภสัชกรจะต้องทำงานในร้านยามากขึ้น

[yawared]

ทำไมไม่ให้นักศึกษาเภสัชฝึกงานในร้านยามากๆ ในเมื่อในอนาคตเภสัชกรจะต้องทำงานในร้านยามากขึ้น

ทุกวันนี้หาแหล่งฝึกยากนะคะ ไม่พอเพียง
เพราะร้านยาไม่พร้อมที่จะเป็นแหล่งฝึก
ร้านยาบางร้านไม่มีประสิ?ธิภาพพอที่จะเป็นแหล่งฝึก
ร้านยาบางร้านตกยุคไม่ปรับปรุงตนเอง
ฯลฯ

[Barrios]

ทำไมไม่ให้นักศึกษาเภสัชฝึกงานในร้านยามากๆ ในเมื่อในอนาคตเภสัชกรจะต้องทำงานในร้านยามากขึ้น

ทุกวันนี้หาแหล่งฝึกยากนะคะ ไม่พอเพียง
เพราะร้านยาไม่พร้อมที่จะเป็นแหล่งฝึก
ร้านยาบางร้านไม่มีประสิ?ธิภาพพอที่จะเป็นแหล่งฝึก
ร้านยาบางร้านตกยุคไม่ปรับปรุงตนเอง
ฯลฯ

รวมถึงร้านยาของคณะเภสัชด้วยรึเปล่าครับ

[Pharma_Name]

ในหลาย ๆ มหาวิทยาลัยมีการปรับหลักสูตรให้มีการฝึกงานร้านยามากขึ้น เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการเก็บชั่วโมงร้านยา 600 ชั่วโมง ก่อนการฝึกงานจริง แต่คงไม่ใช่ทุกมหาวิทยาลัยนะครับ บางมหาวิทยาลัยยังมีการลงเนื้อหาด้านร้านยาไม่มากนัก คงต้องให้หลาย ๆ แห้งปรับปรุงต่อไปครับ

[ธวัชชัย วรรณสว่าง]

ร้านผมเป็นร้านยาที่รับนักศึกษาเภสัชฝึกงาน ถึงผมจะบอกนักศึกษาเภสัชฝึกงานเรื่องการจัดการ และประสพการในร้านยา แต่อยากจะบอกว่าผมได้รับความรู้เรื่องยาใหม่ๆที่ทันสมัยจากนักศึกษาเภสัชฝึกงานเช่นกัน ผมว่าถ้าร้านยาที่มีเภสัชกรเป็นเจ้าของมีเป้าหมายที่อยากพัฒนาร้านยาไห้ดีกว่าเดิม ไม่ต้องเสียเงินมาก ไม่ต้องเหนื่อยมาก นักศึกษาเภสัชฝึกงานจะช่วยท่านได้ ในทางกลับกัน ร้านยาที่เขามีระบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพ ทันสมัยแล้ว การส่งนักศึกษาเภสัชไปฝึกงานกับเขานอกจากจะไม่ได้ไปช่วยอะไรเขามากแล้ว นักศึกษาฝึกงานยังจะไม่ได้รับประสพการว่าก่อนที่จะเป็นร้านยาที่มีประสิทธิภาพ และทันสมัยได้นั้นต้องเอาจริง และขยันกันขนาดไหน

[white-blue]

เป็นสิ่งที่ดีครับ เก็บชั่วโมง การอยู่ร้านยา สัก 5-6 ร้อยชั่วโมง อะนะ แต่อยากรู้ว่า ไอ้ใน 5-6 ร้อยชั่วโมงนี้ มีตารางการฝึกอะป่าว
คงไม่ใช้ไปนับเม็ดยาใส่ซองอย่างเดียวหรอกนะ